วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 49 ตอน ทดลองแป้นพิมพ์ note8

ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะครับ ที่ผมยังไม่ยอมเขียนภาคต่อของเรื่องบาสซักที หาเรื่องเขียนไปเรื่อย แถมไม่เขียนทุกวันด้วยนะ เบี้ยวอย่างบ่อย ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น

และวันนี้ผมก็ได้ซื้อคีย์บอร์ดใหม่สำหรับ note 8.0 มาเพื่อใช้ทำงานเขียน เลยกะว่าจะเอามาบ่นซะหน่อย หลังจากที่ได้ใช้มาหลายวันแล้วเหมือนกัน

คีย์บอร์ดนี้ผมบังเอิญอยากได้ และก็บังเอิญไปเจอที่ร้านค้าแห่งหนึ่งแถวพระรามสอง ราคา 500 บาทพร้อมเคสอันใหญ่เทอะทะ มันใหญ่จริงๆ ครับ พอใส่เป้อย่างตุง แบบมันจะหนาไปไหน ยิ่งวันที่ไปเตะบอลนะ ทั้งรองเท้าก็ใหญ่แล้ว ชุดบอลอีก หนังสือเรียน และแถมมีเจ้านี้ให้มาเกะกะกระเป๋าอีก มันเริ่มยากและจริงๆ

แต่เรื่องนี้จะไม่บ่นมากเพราะผมยอมรับสภาพตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นอยู่แล้วว่าจะเจออย่างนี้

วันที่ผมไปลองปรากฎว่า คีย์บอร์ดเปลี่ยนภาษาไม่ได้ ผมก็เลยต้องโหลดแอปบางตัว ก็ยังเปลี่ยนไม่ได้ นเขาเข้าไปหลังร้าน จึงเปลี่ยนได้ทันที ผมก็ลองพิมพ์ทดสอบความลื่น ก็อ่ะ โอเค ใช้ได้ ตรงสเป็ก แต่ปัญหาก็เกิดขึ้น

ปัญหาใหญ่เลยคือ แป้นไทยมันยาวไป ดังนั้นตัว "บ" "ล" "ง" จึงกระโดดมาอยู่ล่างสุดของแป้นพิมพ์
คือปกติตัวเหล่านี้จะอยู่ยาวไปทางขวา แต่ด้วยความสั้น มันจึงวางไม่พอ เอามาวางไว้เล็กๆ ข้างล่างซะงั้น ลำบากเลยผม เจอปัญหานี้อยากจะไปเขวี้ยงทิ้ง และนี่คงเป็นงานเขียนแรกและงานเขียนสุดท้ายที่ใช้แป้นพิมพ์นี้ ไม่ไหวครับ คือซื้อเพื่อที่อยากจะทำงานคล่องขึ้น แต่มันทำให้คล่องน้อยลง อย่างนี้ไม่ไหวครับ ผมไม่เอา

คราวหลัง ถ้าจะซื้อคีย์บอร์ดแปลกๆ นอกจากความลื่นแล้ว ให้ลองดูด้วยว่า แป้นมันเหมือนที่ถนัดหรือเปล่า

เรื่องตลกอีกอย่างคือ การเปลี่ยนภาษา พอออกจากร้านมาผมพบว่า แอปอะไรที่โหลดมา ไม่เห็นจำเป็นเลย อยากเปลี่ยนภาษา ก็กดหน้าจอเอา ไม่เห็นยาก 5555555

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 48 ตอน กลับมาทำไม

วันนี้ทดลองมาเขียนบล็อกตอนกลางวัน ไม่รู้จะเขียนไปได้ถึงไหน
ปกติเวลาเขียนบล็อก จะต้องออกไปเจออะไรก่อน แล้วค่อยกลับมามีเรื่องจะเขียน แต่ตอนนี้มันกลับบ้านมารู้สึกเรอ่มเหนื่อย กลับมากว่าจะถึงบ้านก็ดึกๆ ดื่นๆ แถมมีงานที่ทำไม่เสร็จอีก ก็เลยไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ที่จะขีดๆ เขียนๆ อะไรจริงๆ (ตอนเขียนอยู่นี้งานก็ยังไม่เสร็จนะ)

คือตอนที่มีอารมณ์อยากเขียนคือ ตอนที่ว่างๆ ว่างจริงๆ ไม่รู้จะทำอะไร สมองมันแล่นมากๆ แต่พอมีช่วงที่งานยุ่งๆ บางทีพอทำงานเสร็จก็ไม่อยากจะทำอะไร อยากออกไปสังสรรค์มากกว่า ไปเจอเพื่อน ไปเตะบอล ไปทำอะไรต่อมิอะไร พอกลับมาบ้านก็เหนื่อย ขี้เกียจทำอะไร

และช่วงนี้ก็เกิดอารมณ์อยากเที่ยว อยากเที่ยวมากๆ ยิ่งทำงานเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากเที่ยวมากเท่านั้น คือปกติเที่ยวเยอะนะ แต่พอได้เที่ยวแล้วมันเสพย์ติด ติดเที่ยว เที่ยวคนเดียวก็ได้นะบางที ไม่ได้ซีเรียส แต่ไม่อยากอยู่กับที่ ไม่อยากทำงานหน้าคอม อยากออกจากหน้าคอม

ไม่รู้เพราะว่าช่วงหลังมี note8 หรือเปล่าไม่รู้ มันทำให้การทำงานหน้าคอมมันเป็นอะไรที่ยากมาก และยิ่งตอนนี้ดันไปหาคีย์บอร์ดที่สามารถต่อจาก note8 ได้แล้วตอนนี้เลยพิมพ์งานก็จาก note8 อย่างเดียว เล่นเกมก็ note8 ทำนู่นทำนี่ก็ note8 เดี๋ยวนี้ถ้าเกมไหนที่เล่นในแอนดรอยไม่ได้ก็จะไม่เล่น

อาจจะเพราะคอมมันไม่ค่อยดีแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือว่าเป็นแค่ข้ออ้าง อาจจะลองไปทำอะไรให้คอมดีขึ้น กำจัดข้ออ้างทุกอย่างออกไปให้หมด แล้วมาดูซิว่าจะยังขี้เกียจอยู่มั้ย

เอาว่ะ ลองดู อยากรู้เหมือนกันว่าความขี้เกียจมันจะไปได้ถึงไหน

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 45 ตอน ขี่มอเตอร์ไซต์เที่ยวน้ำตก

อาทิตย์นี้ก็เป็นอาทิตย์ปกติที่ผมต้องไปสอนหนังสือไกลถึงชัยภูมิ แต่อาทิตย์นี้มีความพิเศษตรงที่ ผมไปตั้งแต่บ่ายวันศุกร์ ดังนั้นมันจึงมีเวลาเหลือมากมายให้ผมได้เที่ยว ไปชัยภูมิมาก็หลายเดือน เพิ่งจะได้เที่ยวแบบจริงๆ จังๆ ก็คราวนี้แหละ ตื่นเต้นดีจัง

แรกเริ่มเดิมที ผมก็ไม่ได้คิดจะไปเที่ยวหรอก กะว่าสอนตอนเช้าวันเสาร์เสร็จ ก็จะยืมมอเตอร์ไซต์ไปขี่เล่นในเมืองซักหน่อย หาอะไรกิน อาหารพื้นเมือง เดินตลาด เข้าวัดอะไรแบบนั้น แต่ผมก็ต้องมาสะดุดกับคำว่า น้ำตกต่ลโตน 22 กิโลเมตร

การขี่มอเตอร์ไซต์ 22 กิโลเมตรสำหรับผมมันเป็นเรื่องที่ชิวๆ มาก แต่คนในพื้นที่หลายคน เมื่อได้ยินว่าผมขี่มอเตอร์ไซต์ไปน้ำตกตาลโตน ก็ตกใจกันใหญ่ ไม่รู้ทำไม เอาจริงๆ มันไม่ไกลเลย ผมขี่รถในกรุงเทพระดับ 20 กิโลเมตรเป็นเรื่องปกติ ส่วนใหญ่จะขี่ 30 กว่ากิโลเมตรด้วยซ้ำ ผมจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องเด็กๆ มาก



จากทีแรกว่าจะเที่ยวเมือง พอเห็นป้ายเท่านั้นแหละ ผมไม่ลังเลเลย เลี้ยวรถไปตามทาง โดยไม่สนใจเลยว่าจะไปถูกหรือเปล่า จะหลงมั้ย สำหรับผมไม่มีอยู่ในหัวครับ เราคนไทย พูดภาษาไทย ยังไงก็ไม่มีทางหลงชัวร์ คิดอะไรมากครับ เที่ยวไม่มีแผนอย่างนี้แหละมัน 555

และพอขี่มอเตอร์ไซต์ไปเรื่อยๆ ก็ผิดคาดครับ น้ำตกตาลโตนกับตัวเมืองชัยภูมิ มันไปง่ายมาก ทั้งป้ายบอกทางที่มีเป็นสิบตั้งแต่ตัวเมืองจนถึงน้ำตก ยังไม่พอ มันเป็นทางตรงยาวที่ไม่ต้องเลี้ยวซ้ายหรือขวาเลย มันไม่มีอะไรที่ทำให้หลงเลยครับ มันแบบอะไรจะง่ายขนาดนั้น ชิวเลยทีนี้



ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าผมชอบน้ำตกขนาดไหน แต่พอมาถึงแล้วผมถึงรู้ว่า ผมชอบน้ำตกมาก และไม่ได้มาน้ำตกนี่ก็หลายปีมากๆ ขนาดปีที่แล้วไปเที่ยวอย่างบ่อย ก็ไม่มีทริปไปน้ำตกเลย ที่ใกล้เคียงหน่อยก็ภูกระดึง มีน้ำตกครับ แต่ไม่มีน้ำ ไปภูกระดึง 2 รอบ ไม่มีน้ำทั้ง 2 รอบ ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรถึงจะได้เห็นน้ำตกภูกระดึง

สำหรับน้ำตกตาลโตน เป็นน้ำตกที่ใกล้ตัวเมืองชัยภูมิมากที่สุด และเจ้าหน้าที่บอกว่าคนเยอะทุกวัน วันนี้คนก็เยอะพอสมควร แต่พอผมเข้าไปแล้วก็พบว่า เยอะของที่นี่ ถ้าไปที่อื่นเรียกว่าไม่มีคนเลยครับ เพราะมันเยอะแบบหยุมหยิมมาก หรือตามความรู้สึกผมมันคือน้อยครับ



น้ำตกก็ไม่ได้สวยอะไรมากมาย แต่มีแหล่งให้เล่นน้ำเยอะ เหมาะกับการมาปิกนิกกับครอบครัวมากกว่าจะมาชมความสวยงาม มาเล่นน้ำที่นี่จัดว่าเหมาะมากๆ เพราะมีที่เล่นน้ำอย่างเหลือเฟือ ทั้งแบบส่วนตัวและเล่นรวม เดินหาได้ตามสบายเลย



ร้านอาหารที่นี่ไม่ได้จัดว่าอร่อย แต่จัดว่าโคตรถูก ผมสั่งข้าวผัดจานนึง 25 บาท บ้าไปแล้ว นี่มันสถานที่ท่องเที่ยวนะ สั่งข้าวจานละ 25 บาท ราคานี้หานอกจากโรงอาหารตามมหาวิทยาลัย และข้าวไข่เจียวบางที่แล้ว ยังไม่เคยเจอที่ไหนขายราคานี้ได้เลยจริงๆ

สำหรับน้ำตกตาลโตนนั้น สำหรับผม ถ้าจะมาเที่ยวชัยภูมิก็แวะมาได้ และก็เลือกน้ำตกนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกพักผ่อน จริงๆ ชัยภูมิมีที่เที่ยวอีกเยอะในระแวกนี้ อาทิตย์นี้ผมไปเที่ยวไม่กี่ที่ ที่จริงจังหน่อยก็ที่นี่ที่เดียว (ขนาดจริงจังแล้วนะ)

ก็นี่แหละครับ เป็นทริปที่ไม่ได้วางแผน จริงๆ แอบคิดว่าถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ผมจะขึ้นไปมอหินขาว แล้วนะครับ แต่ติดที่ว่าต้องรีบกลับไปสอนต่อตอนเย็น ไม่งั้นนะ ไม่รอดหรอก ไว้เจอกันคราวหน้าแล้วกัน มอหินขาว


วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 43 ตอน จักรยานหาย

วันนี้ขอมีสาระวันนึง จะมาเล่าเรื่องจักรยานตัวเองที่เพิ่งหายไปเมื่อหลายเดือนก่อน เอาไว้เป็นอุทาหรสำหรับคนที่คิดจะซื้อจักรยานเอาไว้ขี่เล่นในกรุงเทพช่วงที่ถนนโล่งๆ แบบนี้

ผมเป็นคนที่ชอบขี่จักรยานมาซักพักแล้วครับ ตั้งแต่สมัยเรียนก็ชอบขี่จักรยานเล่นในมหาลัยประจำ ดังนั้นจักรยานกับผมแทบจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตซึ่งกันและกันไปแล้ว

จริงๆ ถ้าย้อนไปสมัยเรียนมัธยม ผมก็เคยขี่จักรยานไปโรงเรียน เป็นจักรยานถูกๆ ที่ได้มาเพราะการจับฉลากปีใหม่ของโรงเรียน วันนั้นแค่ตื่นสาย มาไม่ทันรถรับส่ง ซึ่งก็คือพ่อนั่นเอง ผมก็ไม่อย่ากให้พ่อหรือคนอื่นรอ เลยบอกให้เค้าไปกันก่อน เดี๋ยวผมจะตามไปเอง

ปกติถ้าผมสาย ก็จะให้ปู่ขับเรื่อไปส่ง แล้วก็นั่งรถเมล์ตามไป แต่วันนั้นผมไม่ได้สายมาก คือสายนิดเดียว หลังจากพ่อไปได้ 10 นาทีผมก็แต่งตัวเสร็จ ก็เลยเนียนๆ ไม่บอกปู่ พร้อมกับปั่นจักรยานออกมาเลย โดยไม่มีใครรู้ แม้แต่พ่อก็ไม่รู้ ปู่ก็ไม่สงสัย เพราะผมจะขี่จักรยานจากบ้านไปปลายนาเพื่อขึ้นรถอยู่แล้ว เวลาก็ไม่เลทมาก ผมจึงจัดไปซะ

ผมไม่แน่ใจนะว่าจากบ้านไปโรงเรียนมันกี่กิโล แต่ผมเคยจำคำเพื่อนตอนประถมว่า ถ้าขี่จากบ้านระกาศไปบางบ่อมันจะเมื่อยมาก (ประถมผมเรียนบ้านระกาศ มัธยมผมเรียนบางบ่อ) แต่บ้านผมอยู่บางพลี ที่ไกลกว่าบ้านระกาศ และต้องเข้าซอยไปในระยะทางที่พอๆ กับระยะทางตรงปากถนนใหญ่จากบางพลีไปบางบ่อ

ผมไม่รู้ว่ากี่กิโล แต่จากการคาดคะเน ไม่น่าต่ำกว่า 10 กิโล เผลอๆ น่าจะเกือบถึง 20 กิโลด้วยซ้ำ คือคนดีๆ เค้าไม่น่าจะเอาจักรยานแบบนี้มาปั่นกัน ผมก็ไม่รู้ปั่นได้ไง มันบ้ามากจริงๆ แต่ก็สนุกดี ชิวมากวันนั้น ผมไม่เชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะปั่นถึง

พอไปโรงเรียน แทบไม่มีใครเชื่อว่าจะปั่นมาจริงๆ เพราะมันไกลมาก จนมันเห็นจักรยานนั้นแหละ มันจึงเชื่อ ไม่แถมไม่ใช่แค่เห็นนะ ไอ้พวกนี้มันยังใจดี ทำป้ายทะเบียนติดหลังจักรยานให้อีก แสบจริงๆ 555

เดี๋ยวนะ ผมจั่วหัวว่าจะเขียนเรื่องจักรยานหาย แต่ไหงกลายมาพูดเรื่องนี้ไปได้เนี่ย 555

แต่ก็ช่างเหอะ เดี๋ยวมีอารมณ์ จะกลับมาเขียนเรื่องจักรยานอีก มันยังไม่จบแค่นี้ เหมือนเรื่องบาสแหละ มันยังไม่จบแค่นี้ 555

เจอกันวันพรุ่งนี้ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 42 ตอน ต้นไม้ทำให้อากาศหนาว

ในค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวคืนหนึ่ง มีบุรุษหนุ่ม 2 คนนั่งซ้อนมอเตอร์ไซต์กลับบ้านเข้าไปในซอยเปลี่ยว ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากันอย่างเมามัน แต่แล้วก็มีลมพัดผ่านมา จนทำให้ทั้งสองคนตะลึกงัน ทั้งสองคนมองหน้ากันไม่ได้ แต่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ยิ่งขี่ไป ยิ่งวูบไป ทั้งสองคนขนลุกซู่ ลุกไปยันขนหน้าแข้ง

ช่วงนี้อากาศหนาวนะครับ หนาวมาก โดยเฉพาะผมด้วยแล้วที่ต้องกลับบ้านดึกๆ แทบทุกวัน เที่ยงคืนถ้าถึงบ้านนี่ถือว่ากลับบ้านเร็วแล้ว และพาหนะหลักของผมคือมอเตอร์ไซต์เวฟสีขาวน้ำเงินคันงาม

ทุกวันผมจะต้องขี่ผ่านทางเดิมๆ ซึ่งทางเดิมๆ ของผมจะมีช่วงที่เป็นป่า และช่วงป่าเนี่ยแหละที่ต้องบอกเลยว่า มันหนาวมาก หนาวจริงๆ หนาวเหมือนกับว่ามีใครเปิดพัดลม จากปกติจ่อกันเบอร์หนึ่ง แล้วเร่งขึ้นไปเบอร์ 3 อย่างฉับพลัน

ต้นไม้ทำให้อากาศหนาว
ตึกรามบ้านช่องทำให้อากาศร้อน

ใครไม่เชื่อ ลองไปพิสูจน์ครับ ไม่ต้องดึกอย่างผมก็ได้ เอาหัวค่ำ 3-4 ทุ่ม ลองไปวิ่งเส้นเรียบทางด่วนรามอินทราด้วยรถมอเตอร์ไซต์นะครับ ลองดู แนะนำเลย แล้วคุณจะรู้ว่า อากาศแบบยอดภูกระดึงมันมีอยู่จริงที่กรุงเทพของเราเนี่ยแหละ

วันนี้สันๆ นะครับ ง่วงแล้ว 555

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 41 ตอน ไปดูบ้านตอนดึก

หลังจากที่เรากำลังจะกลับบ้าน จากการนัดปกติที่เจอกันเป็นประจำ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เจ้าต้นก็มีความคิดขึ้นมาว่าอยากจะเช่าบ้าน จริงๆ มันคิดกันไว้ก่อนแล้วว่าจะเช่าบ้าน โดยมีคนอยู่หลัก แล้วคนอื่นจะเป็นคนแวะไปแวะมา เพื่อจะได้มีที่นัดเจอกันเป็นหลักเป็นแหล่งซักที

หลังจากที่เราเจอกันเสร็จ เราก็คุยกันว่า เที่ยงคืนเราจะออกไปดูบ้านที่เราดูกันไว้แล้ว จากข้อมูลบอกว่าทำเลดีมาก ห่างจากรถไฟใต้ดินประมาณ 500 เมตร

เที่ยงคื่นผ่านไป พี่แทนก็ยังคงทำเว็บอยู่
เที่ยงคืนผ่านไป พี่ตองก็กำลังเรียนอะไรไม่รู้อยู่กับไอ้ต้น
เที่ยงคืนผ่านไป พี่ทีมก็นั่งทำอะไรอยู่หน้าคอม
เที่ยงคืนผ่านไป ผมก็นั่งเล่นฟิฟ่าอย่างสบายใจ

เหมือนกับว่า เรานัดกันเที่ยงคืนจะไม่มีผลอะไรกับเราเลย
เวลาเที่ยงคืนไม่ได้กระตุ้นเราเลย
เที่ยงคืนแล้วจะทำไม ก็ยังไม่อยากออกไปไหน 555

คือบ้านที่เราจะไปดูเนี่ย ต้นสปอยไว้โดยการเอารูปมาให้ดูว่า ชั้นล่างค่อนข้างโล่ง สามารถทำอะไรได้เยอะแยะ และการอยู่ด้วยกันหมายถึงการแชร์ค่าน้ำ ค่าไฟ แถมตู้เย็น ไมโครเวฟ ทีวี ก็แชร์ด้วยกัน มีแต่ได้กับได้ ไม่มีเสียอะไรเลย

และเราก็ขับรถไปดูตามแผนที่ ปรากฎว่า ไม่เจอครับ บ้าไปแล้ว ขับรถวนจนทั่วหมู่บ้าน ไม่เห็นมีบ้านที่เหมือนกับในรูปเลยซักหลัง เจอประตู้ไม้ แต่หลังใหญ่โคตร
บางบ้านประตูไม้ แต่โคตรโทรม ไม่มีหลังไหนเข้าสเป็กเลย
เราจึงสรุปกันว่า กลับเหอะ ไว้มาดูวันหลัง

จริงๆ ก็ไม่ควรจะมาดูตอนหลางคืนอยู่แล้วหรือเปล่าครับ คือตี 1 ถึงหลงก็จะไปโทรถามเจ้าของบ้านเหรอ ได้โดนด่ากลับมาดิ

สุดท้าย เราคงได้แชร์บ้านกันซักหลัง อยู่ที่ว่าหลังไหน
การมีบ้าน ก็เหมือนมีที่สังสรรค์ ลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะ

ขอให้โชคดีครับ

(และพี่เสือก็ยังไม่มาเขียนเรื่องบาส)

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 40 ตอน ความขี้เกียจก็ยังถามหา

เวลาขี้เกียจนี่มันขี้เกียจจริงๆ นะครับ
งานน่ะมี แต่โคตรขี้เกียจ
ตื่นเวลาปกติ แต่ขี้เกียจกว่าปกติ
วันวันไม่อยากทำไร เพราะมันขี้เกียจ

วันนี้มีโอกาสได้ไปดูหนังระดับรางวัลเต็มตู้อย่าง 12 year slave
เป็นหนังของคนผิวดำที่เป็น ไท แต่โดนมอมเหล้า แล้วโดนลักพาตัวไปขายเป็นทาส
ตัวหนังไม่มีอะไรเลยครับ ธีมหนังก็แค่นั้นแหละ เขาเล่าเรื่องจริงของหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัวไปเป็นทาสถึง 12 ปี ทั้งที่ตัวเองเป็นไท แล้ว มีหน้าที่การงานใหญ่โต บ้านหลังเบ้อเร่อ

พอเห็นชีวิตความรำบากของเค้าแล้วรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที
รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่เกิดมาในยุคนี้
ยุคที่ไม่มีการแบ่งชนชั้นชัดเจน
ถึงแม้ว่าการแบ่งชนชั้นจริงๆ จะยังอยู่ก็ตาม แต่ไม่ชัดเจนเหมือนสมัยก่อน

ยุคที่ระบบทาส เฟื่องฟู มันเป็นยุคที่ไม่อาจจะกลับไปนึกถึงได้เลย
มันหดหู่มาก คิดง่ายๆ ครับ

ทุกวันนี้เราก็ทำงานเยี่ยงทาส แต่อย่างน้อยเราก็ได้เงิน
เราไม่พอใจเราก็ยื่นซองขาว แล้วไปเป็นทาสให้กับที่ใหม่
ชีวิตมีอิสระกว่าทาสมัยก่อนเยอะ
หดหู่น้อยกว่าเยอะ

ทาสสมัยก่อนนี่ชีวิตสิ้นหวังมากเลยนะครับ
คือจะรวมตัวกบฏก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่า ถ้าทำแล้ว พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน
วันๆ ได้แต่ทำงาน แลกข้าว ไม่มีอิสรภาพ ชีวิตถูกคนกลุ่มหนึ่งซื้อไป
มันช่างไม่สุนทรีย์เลยจริงๆ

ใครมีโอกาสก็แนะนำลองไปดูครับ 12 year slave
ถึงแม้ว่าหนังจะไม่เป็นที่ถูกใจคนดูหนัง
แต่เข้าไปดู แล้วเราจะได้รู้ว่า โชคดีขนาดไหนแล้วที่เราเกิดมาในยุคที่เลิกทาสแล้ว...

..........สวัสดี..........

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 39 ตอน ก่อนที่ความขี้เกียจจะครอบงำ

หายไปสามวัน วันนี้ได้ฤกษ์กลับมาเพื่อเขียนอะไรนิดๆ หน่อยๆ
ก่อนที่ความขี้เกียจจะครอบงำ

หลายครั้งเลยที่ผมทำอะไรแล้วทำไม่เสร็จ เพราะโดน
ความขี้เกียจมาครอบงำ

โปรเจ็คนี้เหมือนกัน ผมก็มีอารมณ์ขี้เกียจบ่อยครั้ง แต่ก็ฝืนตัวเองลุกขึ้นมาเขียนได้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะกลับบ้านดึกขนาดไหนก็ตาม เพราะว่าดันสร้างวินัยให้ตัวเองต้องเขียนทุกวัน

แต่แล้วอยู่มาวันนึง
ความขี้เกียจมาครอบงำ

กลับบ้านตีสี่ ดันขี้เกียจเขียนซะงั้น เลยไม่ได้เขียนเลย
พอมีความขี้เกียจวันแรก
ความขี้เกียจก็ตามมาวันที่สอง
และวันที่สามก็ติดโรคขี้เกียจอีกตามๆ กันมา
โรคขี้เกียจมันน่ากลัวเหลือเกิน
อย่าให้ความขี้เกียจมาครอบงำนะครับ

ความขี้เกียจมันเป็นโรคที่ถ้าเป็นแล้ว จะเป็นติดต่อกันหลายวัน
พอได้เริ่มขี้เกียจ แล้วมันจะขี้เกียจไปเรื่อย

เรามาสร้างนิสัยขยันกันเถอะ
ลุกขึ้นมา
ทำอะไรก็ได้
อยากขี้เกียจจจจ
ไอ้เสือ

ปล.พรุ่งนี้จะกลับมาเขียนเรื่องบาสต่อให้จบนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 35 ตอน เล่าเรื่องฟุตบอลในวัยเด็กเล็ก

วันนี้ขอพักเรื่องบาส 1 วันแล้วกันนะครับ ผมรู้สึกเอียนยังไงไม่รู้ เหมือนแบบว่าขี้โกง ยืดเรื่องบาสไปหลายตอนเพื่อที่จะได้มีเรื่องเขียน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่นะ เพราะว่าบาสมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสมัยมัธยมจริงๆ คือตอนมัธยม ถ้าผมหายตัวไป ไม่ต้องหาไกล อยู่สนามบาสนั่นแหละ

ที่จะเล่าเรื่องบอล เพราะวันนี้เพิ่งเตะบอลมา และก็นึกได้ว่า ตัวเองเคยมีความฝันอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องฟุตบอลเหมือนกัน เป็นความฝันในวัยเด็ก เด็กมากๆ ด้วย สมัยวัยกระเตาะ เด็กประถม เล่นบอลทุกวัน

ถ้าเปรียบมัธยมเป็นวิถีนักบาส ตอนประถมเรียกว่าวิถีนักบอลเลยก็ได้



ตอนประถมผมอยู่สองโรงเรียน ตั้งแต่อนุบาลถึง ป.2 ผมอยู่โรงเรียนวัดบางนางเพ็ง และหลังจากนั้นผมก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนชุมชนวัดบ้านระกาศ และตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ทั้งสองโรงเรียน ช่วงพักกลางวันผมก็จะวนเวียนอยู่แต่ในสนามบอล อยู่บางนางเพ็งก็เล่นบอลกับพวกรุ่นพี่ ป.4 5 6
มาอยู่บ้านระกาศ ก็ชวนเพื่อนเล่นบอลทุกวัน

และผมเนี่ยมันชอบบ้า พ่อซื้อลูกบอลให้เตะตั้งแต่เด็กๆ 
ที่บ้านเนี่ยมีทุกไซส์ ตั้งแต่เล็กไปเลย บอลพลาสติก ลูกขนาดฟุตซอลแต่อัดลมเหมือนลูกฟุตบอล จนถึงลูกฟุตบอลมาตรฐาน เรียกว่าที่บ้านเนี่ยมีลูกฟุตบอล 4 - 5 ลูกได้ และผมเป็นบ้านสวน ดังนั้นสังเวียนแข้งผมก็ ในบ้านนั่นแหละ 555

และที่บ้านผมไม่มีใครเล่นบอลเลยซักคน ผมก็เล่นคนเดียวซิครับ ผมมันพวกจินตนาการสูงด้วย ไม่มีปัญหา วิธีการก็ง่ายมาก เอาเก้าอี้มาตั้ง ตัวนึง แล้วก็เตะให้เข้าขาเก้าอี้

ที่ผมใช้เก้าอี้ตัวเดียวเพราะตอนเด็กๆ ผมชอบดูรายการเจาะสนามของ ย.โย่ง แล้วตอนนั้นเค้าพาไปทัวร์สโมสรลิเวอร์พูล และการฝึกกองหน้าของลิเวอร์พูลคือให้เตะอัดกำแพง ผมดูไม่ชัดหรอกว่ากำแพงเป็นแบบไหน เตะอัดยังไง 
ผมดูแล้วก็คิดไปเองว่า เค้าเตะอัดสันกำแพง

นึกถึงกำแพงไม้ครับ จะมีด้านที่เป็นหน้ากำแพงที่ใหญ่ๆ กว้างๆ และจะมีอีกด้านนึงที่เป็นสัน เล็กๆ นั่นแหละครับ ผมไปคิดว่ากองหน้าลิเวอร์พูลต้องเตะอัดสันกำแพง ไม่รู้ว่าโง่หรือบ้า ผมจึงเอามาเป็นแบบฝึกให้ตัวเองว่า ถ้าจะเป็นดาวยิง ต้องตั้งเป้าหมายให้เล็กที่สุด ผมจึงเลือกใช้เก้าอี้ตัวเดียวเป็นโกล

และตอนนั้น พ่อก็ชอบดูบอล ทั้งบอลไทย บอลพรีเมียร์ลีก คือบอลไทยไม่เท่าไหร่ เตะเวลาปกติ เย็นๆ แต่บอลพรีเมียร์เนี่ย ปกติผมก็ไม่ได้ดูหรอกตอนนั้น แต่พ่อชอบปลุกประจำ ตีหนึ่งตีสอง ปลุกตลอด ให้ขึ้นมาดูเป็นเพื่อน ผมก็อะ ดูก็ดู

ดังนั้น ผมจึงได้ยินเสียงของคนพากประจำ และตอนผมเล่น ผมก็จะคิดว่าเสาบ้านเป็นกองหลังฝั่งตรงข้าม จะมีไขว้หลอก แตะหลบ แตะบอลไปทางแล้วอ้อมไปรับอีกทาง บางทีก็เตะชิ่งกำแพงเหมือนกับการทำชิ่งกับเพื่อนในทีม หลบซ้ายทีขวาที 
และระหว่างเลี้ยง ผมก็จะพากตัวเองไปด้วย 

"เอาแล้วครับ พีรพัฒน์ได้บอล ทำชิ่งหนึ่งสองกับเพื่อนร่วมทีม 
พีรพัฒน์เลี้ยงไปแล้วครับ เจอกองหลังฝั่งตรงข้าม 
พีรพัฒน์แตะหลบไปได้สวยมากครับลูกนี้ 
ตอนนี้พีรพัฒน์หลุดไปได้แล้วครับ
พีรพัฒน์ดวลเดี่ยวกับผู้รักษาประตู พีรพัฒน์ทำไงครับ
พีรพัฒน์ยิงสวนเข้าไป...โอ้ววววววว สุดยอดมากครับ ช่างเป็นลูกยิงที่สวยงามอะไรเช่นนี้"

นั่นแหละครับ ความบ้าในวัยเด็กของผม

จบก่อน เดี๋ยวมีอารมณ์ อาจจะมาเล่าเรื่องฟุตบอลในวัยเด็กต่อ บอกได้เลยว่าเรื่องเยอะไม่แพ้เรื่องบาส แต่อาจจะนานๆ หน่อยนะ วันนี้ที่เขียนเพราะไม่อยากเขียนเรื่องบาสหลายๆ ตอนติดกัน กลัวจะเอียน 555


วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 34 ตอน นักบาสโรงเรียน #4

ความดุเดือดมันเริ่มตั้งแต่วันนี้แหละ

ทันทีที่พวกพี่ๆ สีม่วงขึ้นไปอยู่ ม.ปลาย เค้าก็เป็นตัวหลักให้กับสีของเค้าเลยทันที ทีนี้จากสีม่วง เค้าได้ย้ายฟากไปอยู่สีเหลือง ส่วนผมพอขึ้น ม.ปลาย ก็ได้อยู่สีฟ้าเหมือนเดิม

ช่วงผม ม.4 พี่เค้า ม.5 เหมือนเป็นช่วงเวลาแห่งการบ่มเพาะ เวลานั้นบาส ม.ปลายมีการแข่งขันที่สูงมาก ทั้งสีแดงที่ครองแชมป์ ม.ปลายมาหลายสมัย สีฟ้าที่มีตัวจี้ดๆ เยอะแยะมากมาย และจากการที่พี่กลุ่มนี้ขึ้น ม.ปลาย ทำให้สีเหลืองเป็นอีกสีที่น่ากลัวในบาสกีฬาสี

ความเข้มข้นนั้นโปรดลืมไปเถอะ เพราะผมไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย และตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นสีแดงที่มาแรงแซงคว้าแชมป์ไปในที่สุด และถ้าจำไม่ผิดอีกก็เหมือนจะชิงกับสีเหลืองที่มีพี่ๆ เหล่านั้นอยู่นั่นแหละ

ตอนขึ้น ม.ปลาย พวกเราไม่เหมือนก่อนแล้ว มีตัวที่แข็งแกร่งมากขึ้น จะขอพูดถึงทีมสีเหลืองก่อน

สีเหลือง จากที่เคยมีตัวหลักอย่างวัต ชัต วุธ จุ๊ กานต์ และพอขึ้น ม.ปลายก็ได้กำลังเสริมชั้นดีมาอีกสองคน คือ




หนุย การ์ดจ่าย ผู้มีความคล่องแคล่วในการถือบอล แย่งยาก แถมยังแม่นอีก เดิมทีทีมนี้ไม่มีการ์ดจ่ายหลักๆ แต่พอได้พี่หนุยเข้ามา เรียกว่าเสริมเขี้ยวเล็บได้พอสมควร ทำให้สามารถเข้าชิงได้ตั้งแต่ยังอยู่ ม.4



อ๊อฟ เป็นชูตเตอร์ มีความแม่นยำสูง ทั้งระยะกลางและระยะไกล พี่อ๊อฟเข้ามาแทนพี่แว่นที่ไปใส่ใจเรื่องเรียนมากขึ้น และหันไปเอาดีทางด้านยูโด

เรียกว่าเขี้ยวเล็บสองคนนี้ที่เข้ามา ทำให้สีเหลืองเป็นสีที่น่ากลัวอย่างมากสำหรับหลายๆ สี

มาทางฝั่งสีฟ้าของผมก็ไม่ธรรมดา มี 2 ตัวมาใหม่ และทดแทนด้วยการขาดหายไปของ 2 ตัวเก่า



สิง คนนี้รู้ร่างนักกีฬาโดยแท้ มีพื้นฐานวอลเลย์ แม้ว่าตัวจะสูงพอๆ กับนพ แต่การกระโดดเรียกว่าสูงมาก มาเป็นเซ็นเตอร์ตัวที่สองในทีม และเมื่อสิงเข้ามา ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า ทีมเราเล่นแผนโดยใช้เซ็นเตอร์สองตัว ปีกสามตัวไปเลย ไม่เคยเห็นเหมือนกันว่ามีทีมไหนเล่นแบบนีั



โอด คนนี้เข้ามาเป็นปีกอีกคนหนึ่ง มีความเร็วเป็นเลิศ เรียกว่าเร็วที่สุดในสนามแล้ว มาช่วยเรื่องจังหวะฟาสเบรค มีความแข็งแกร่งสูง ได้โอดเข้ามานี่ทำให้ทีมเราดูเล่นแล้วพอสูสีกับสีอื่นๆ ที่มีอยู่ตอนนั้น

สองคนนี้ม่แทนที่ของอูมกับแอ้ ที่ต้องย้ายโรงเรียนไป และพอได้สองคนนี้มา ทีมเราลงตัวมากๆ

และพอขึ้น ม.4 เราก็ยังไม่ค่อยได้เป็นตัวหลักของสีมากนัก เพราะว่ามีพี่ ม.6 ที่เค้าเล่นด้วยกันอยู่ แต่เราก็ได้ลงเล่นบ้างแต่ไม่มาก ตอนนั้นสีเราก็ได้แชมป์กีฬาสี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอินมาก เพราะไฮไลท์มันไม่ได้อยู่ที่ตอนนี้ ไฮไลท์มันอยู่ที่หลังจากนี้ เมื่อพวกเราขึ้นมาเป็นตัวหลักเต็มตัว...

ติดตามตอนต่อไปพรุ่งนี้ครับ
เป็นตอนที่เรียกว่า อินสุดๆ ทั้งโรงเรียนต้องหยุดดู
กีฬาทุกชนิดต้องหยุดแข่ง
รอบสนามไม่มีที่ยืน จนต้องไปยืนดูบนตึก4
เป็นที่กล่าวขวัญถึง แม้แต่ตอนที่ผมจบออกไปแล้ว

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 33 ตอน นักบาสโรงเรียน #3

และนัดชี้ชะตาระหว่างสีฟ้ากับสีม่วงกำลังจะเริ่มขึ้น
พวกผมกลับได้รับข่าวดีอะไรบางอย่างคือ ในเวลาที่มีแข่งบาสนั้น สีม่วงยังต้องแบ่งคนไปแข่งวอลเลย์บอล ฟุตบอล และบาสเก็ตบอลในเวลาเดียวกัน และพี่วัตแห่งสีม่วง ก็เป็นหนึ่งในหลายคนที่ลงไปหลายชนิดกีฬา เวลานั้นผมคิดว่า 

ตัวหลักหายไปคนนึง งานคงเบาลงหน่อยล่ะว่ะ

แต่ผมคิดผิด

ทีมสีม่วงกลับมาจัดเต็มกับกีฬาบาส เรียกว่าตัวหลักอยู่ครบทั้งวัต วุธ ชัต จุ๊และกาน เรียกว่ามากันฟูลทีมเลยทีเดียว ไม่มีการผ่อนให้กับมือใหม่หัดเล่นบาสอย่างพวกผมบ้างเลย ผมก็ถือว่าเป็นเกียรติครับ ที่พี่ๆ ได้จัดเต็มให้ชุดใหญ่ขนาดนี้



แต่ไม่เป็นไรครับ เราซ้อมตั้งรับการประกบตัวแบบหนึ่งต่อหนึ่งมาอย่างดี แมทนี้คงไม่มีปัญหาเรื่องการประกบตัวเท่าไหร่ เราคงจะผ่านไปได้ เหลือเรื่องการทำแต้ม

นั่นเป็นเสียงปลอบใจกันเองก่อนเกมจะเริ่มขึ้นครับ

และวินาทีที่เสียงนกหวีดเริ่มการแข่งขันดังขึ้น เปิดเกมมาด้วยแต้มแรกจากผมด้วยลูกฟาสเบรคจากการโยนยาวของนพหรือเอ็มจำไม่ได้ และผมก็จัดการเลย์อัพเข้าไปด้วยท่าถนัด

แต่หลังจากนั้นน่ะเหรอ...หึหึ...พูดได้คำเดียวว่า...

ยับ

เรียกว่าเกมแรกอย่างเป็นทางการ ก็โดนรับน้องไปอย่างโหด สกอร์เท่าไหร่จำไม่ได้ แต่ทีมผมทำได้ประมาณ 8 หรือ 9 แต้มมั้ง โดยมีนพเป็นตัวทำแต้มหลัก ผมเหรอ นอกจากลูกแรกแล้ว หลังจากนั้นแทบทำอะไรไม่ได้เลย อย่างมากได้แค่แย่งบอล แย่งรีบาวได้บ้าง แต่สกอร์อยู่นึ่ง

ทั้งเกมผมโดนพี่จุ๊กับพี่กาน ผลัดกันมาประกบผม เรียกว่าเจอการประกบตัวต่อตัวของจริง สิ่งที่ซ้อมมาแทบทำอะไรไม่ได้เลยกับสถานการณ์จริง พยายามส่งซิกว่า... 

เห้ย... สกรีน
เห้ย... พาตัวประกบ
เห้ย... รีบาว

แต่จำได้ว่า มันสู้ไม่ได้เลยจริงๆ หมดปัญญาจริงๆ ทำทุกอย่างที่ซ้อมแล้ว แต่มือใหม่ยังไงก็เป็นมือใหม่ สู้ไม่ได้เลยไม่ว่าจะทำยังไง มันหมดทางสู้จริงๆ

และที่น่าเจ็บใจก็คือ หลังจากจบครึ่งแรก พี่วัตกับพี่วุธต่างแยกย้ายไปเล่นฟุตบอลกับวอลเลย์ โดยทิ้งตัวสำรองไว้สู้กับเราอย่างไม่ใยดี พี่ก็ช่างทำกันได้เนอะ 555

แต่เกมมันขาดจริงๆ ถึงแม้เป็นตัวสำรอง แต่รู้เลยว่าสำรองสีม่วงนี่เล่นเป็นกันทุกคน อย่างน้อยก็ทำให้เราทำอะไรไม่ได้เลย จบเกมไปอย่างเละเทะ สู้ไม่ได้เลยจริงๆ แค้นสุดๆ ซ้อมมาตั้งนาน มาตายเอาตั้งแต่ด่านแรก ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ แสบจริงๆ แค้นมากเลยตอนนั้น

แต่หลังจากนั้น เราสองห้องก็เป็นเพื่อนกันเลยนะครับ แก้งเราสีฟ้ากับแก้งสีม่วง เรียกว่าสนิทกันเลย หลังจากนั้นเรียกได้ว่า เราเล่นบาสกันทุกเช้า กลางวัน เย็น เล่นกับสีม่วงพวกนี้นั่นแหละ

ปีต่อมาตอนเราอยู่ ม.3 เราขอไม่เล่าแล้วกัน เพราะว่าเราก็สามารถคว้าแชมป์กีฬาสีมาได้อย่างชิวๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะเราเล่นบาสกันทุกวัน ส่วนสีอื่นนี่ไม่เคยซ้อม ไม่เคยเล่นกันเลย มันจึงเป็นงานที่ชิวมากๆ

สำหรับตอนนี้ก็จบไปด้วยความแค้น นี่เล่ามาสามตอนยังไม่มีอะไรเข้าใกล้คำว่านักบาสโรงเรียนเลยนะครับเนี่ย 555

วันนี้ขอจบไปด้วยความแค้นต่อสีม่วง ตอนหน้า พวกเราสีฟ้าจะไปพบกับพี่สีม่วงที่ตอนนี้ไปอยู่ ม.ปลายที่คณะสีเหลือง บอกเลยว่า ตอน ม.ปลายมันเข้มข้นกว่านี้เยอะ อันนี้แค่น้ำจิ้ม (ปาเข้าไปสามตอน)

แล้วจะรู้เลยว่า นัดหยุดโลกเป็นยังไง ตามได้ในตอนสุดท้ายครับ(ยังไม่ใช่ตอนหน้านะ)

เรื่องสนามบาสเนี่ย มีเรื่องเล่าอย่างเยอะ เพราะชีวิต ม.ปลายส่วนใหญ่อยู่ที่สนามบาสเลยก็ว่าได้

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 32 ตอน นักบาสโรงเรียน #2

ทิ้งท้ายในตอนที่แล้วว่าเราเจอแชมป์เก่า...

นึกภาพวินาทีที่เรารู้ว่าเราเจอแชมป์เก่าครับ
ตอนนั้นอยู่ ม.2
ซ้อมทีมมาร่วมเดือน
เพิ่งแข่งชนะพี่ ม.ปลาย
แล้วดันจับฉลากมาเจอแชมป์เก่า...

อารมณ์ตอนนั้นมันพลุ่งพล่านมากครับ แบบงงว่า ที่เราทำมาทุกวันมันจะสูญสลายเหรอ เราก็ได้แต่ปลอบใจว่า แชมป์เก่าแล้วไงว่า มีมือมีตีนเหมือนกัน เราเนี่ยแหละจะล้มแชมป์เก่า แล้วจะสถาปนาตัวเองเป็นแชมป์ใหม่...เฮ้...!!!



คือแชมป์เก่าเค้าอยู่สีม่วง มีตัวชูโรงเป็นพี่วัต ตัวทำแต้มหลัง หัวหมู่ทะลวงฟัน
พี่วุธ เป็นตัวทำแต้มรอง คอยยิงสามแต้มจากวงนอก
พี่ชัด เป็นเซ็นเตอร์ร่างยัก สุดยอดในการเล่นใต้แป้น
พี่นุ ตัวจี้ดประจำทีม มีทีเด็ดที่ความเร็ว
พี่กาน ตัวโจ้กเกอร์ ทำได้หมดทั้งแหวก ทั้งยิงวงนอก แต่อย่าให้รีบาว
พี่แว่น นักเทควันโด้ เป็น sixman ที่แม่นวงนอกมากๆ

นี่แหละ ทีมสีม่วง ที่ได้แชมป์กันตั้งแต่ตัวเองอยู่ ม.2 และปีนี้อยู่ ม.3 ก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะสามารถรักษาแชมป์ไว้ได้ โดยมาก้างขวางคอตัวใหญ่อย่างสีฟ้า ที่จะต้องเจอในรอบแรก...หึหึ

นึกถึงหน้าผมซิครับ ว่าจะเป็นยังไงเมื่อรู้ข้อมูลอย่างนี้

ผมจำได้ว่า ทีมสีม่วงเค้าจะเล่นแบบ Man to Man คือประกบตัวต่อตัว ซึ่งแตกต่างจากทีมผมที่จะเน้นตั้งโซนกันมากกว่า ดังนั้นเป็นการวัดไปเลยว่า M2M หรือ Zone ใครจะเจ๋งกว่ากัน

ระหว่างเตรียมตัว พี่พตพอรู้ว่าเราจะเจอสีม่วง ก็เคี่ยวเข็ญเรา ซ้อมอย่างหนักเพื่อรับมือการเล่นแบบ M2M ของสีม่วง ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ถึงความร้ายกาจหรอกครับ เพราะเราไม่เคยเล่นกับคนเก่งๆ อย่างนี้เลย พี่พตให้ซ้อมอะไรก็ซ้อมอย่างนั้น

ทั้งการสกรีนเอ้า, สกรีนให้คนที่ประกบมาชนกันเอง สกรีนนู่น สกรีนนี่ สารพัดจะสกรีนครับ

แถมมีการเล่น Fast Break หรือโต้กลับเร็ว ซ้อมอยู่นั่นแหละครับ ซ้อม ซ้อม ซ้อม
เรียกว่าซ้อมกันหนักมาก เพื่อเตรียมรับมือกับทีมสีม่วง เราก็มุ่งมั่นกันมากว่า เราต้องคว่ำแชมป์เก่าให้ได้ มันไม่มีทางเลือกอื่น เราไม่สามารถยอมแพ้ได้ เราจึงต้องสู้ให้สุดความสามารถ

และเรามาดูกันว่า สุดท้ายเราจะสู้ได้แค่ไหน
ประโยคคลาสสิคที่คงได้ยินกันมาบ่อยแล้วว่า ถ้าทำเต็มที่แล้ว ถึงแพ้ก็ไม่เสียใจ

และพรุ่งนี้ ผมจะมาเล่าต่อถึงนัดชี้ชะตา ระหว่างสีฟ้ากับสีม่วง...

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 31 ตอน นักบาสโรงเรียน #1

เมื่อก่อนต้องขอโม้ก่อนว่า ผมเคยเป็นนักบาสโรงเรียน ตัวสำรองลำดับท้ายๆ ที่แบบว่า ถ้าเกมไม่ขาดหรือหรือเป็นช่วงต้นเกม อย่าหวังว่าจะได้ลง เตี้ยก็เตี้ย ชูตก็ไม่แม่นเท่าไหร่ ดีอย่างเดียวที่กระโดดสูง พอจะแย่งรีบาวกับเพื่อนในทีมที่สูงๆ ได้บ้าง แต่การไปแย่งรีบาวกับเซ็นเตอร์โรงเรียนอื่นนี่ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย



แรกเริ่มเดิมที ผมก็ไม่ได้คิดจะเข้าวงการบาสเก็ตบอลหรอก มันมีที่มาจากว่า ตอน ม.2 ระหว่างหานักกีฬาในงานกีฬาสี พวกผมเป็นรุ่นน้อง ครั้นจะไปแย่งกีฬาที่อยากเล่นอย่างฟุตบอลก็ขี้เกียจไปแย่งกับพี่ ม.3 และเด็กห้องอื่น และทีแรกก็ไม่ได้เล่นอะไร ก็มีพี่พต เป็นพี่ ม.4 ที่เค้าเป็นคนคุมทีมบาส อยู่ดีๆ ก็เดินมาชวนพวกผมซะงั้น ไม่รู้ไปรู้จักกันตอนไหน และกีฬาบาสก็เป็นกีฬาที่ไม่ค่อยมีใครเล่น ผมก็โอเค เล่นก็เล่น และก็มีพี่พตเป็นโค้ชสอนให้ตั้งแต่เริ่ม

พูดก็พูดเถอะ อย่าว่าแต่เล่นบาสเลย ลูกบาสเนี่ยไม่เคยจับเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พวกผมก็ไม่ซีเรียส เพราะเชื่อมั่นในโค้ชอย่างพี่พต โดยมีลูกทีมที่พอดีเหลือเกินอย่าง ผม เอ็ม นพ แอ้ อูม จริงๆ มีนรินทร์อีกคน แต่นรินทร์ไม่ค่อยสนใจกีฬาเท่าไหร่ จึงขอนับเป็น 5 คนพอดีทีมไปก่อนแล้วกัน

และจำตัวละครเอ็ม นพ และก็ผมไว้ให้ดี เพราะจะมีบทบาทในตอนต่อๆ ไป

และ 5 คนนี้วันแรกก็ลงทีมกันเลย จับลูกบาส เลี้ยงๆ และก็วางตำแหน่งกันเรียบร้อย โดยมี
เอ็ม เป็นเซ็นเตอร์ มีหน้าทีคอยรีบาว และทำแต้มใต้แป้น
นพ เป็นการ์ดจ่าย คอยถือบอล คุมเกม และเป็นตัวทำแต้มหลัก
ผม เป็นฟอร์เวิร์ด หรือกองหน้า เป็นคนประกบการ์ดจ่ายฝั่งตรงข้าม และวิ่งอย่างเร็วเพื่อรอลูกโต้กลับ

ส่วนแอ้กับอูม ผมไม่ค่อยมั่นใจในตำแหน่งของสองคนนี้มากนัก แต่จำได้คร่าวๆ ว่าอูมจะเล่นตำแหน่งคล้ายผม และแอ้ จะเล่นตำแหน่งเดียวกับนพ เป็นคนคอยซับพอร์ตเอ็ม ช่วยเอ็มรีบาว เพราะแอ้เป็นคนตัวใหญ่ คอยเบียด คอยกระแทกอะไรได้

จริงๆ พวกเราพื้นเพเป็นพวกเด็กติดเกม เกมประจำที่เล่นตอนนั้นเป็นเค้าเตอร์ เกมยิงกันสุดฮิตในสมัยนั้น เช้า กลางวัน เย็น เราก็จะเล่นเกมกันเสมอ แอบเล่นในห้องคอม แต่หลังจากที่พี่พตแนะนำให้เรารู้จักกับลูกบาส หลังจากนั้นทุกเย็น เราจะมีนัดกันที่สนามบาส เพื่อเล่นบาสกันทุกวัน

โดยเฉพาะผม เอ็ม และนพนี่จะสนิทกันมาก บางทีเราจะเล่นเกมผู้จัดการทีมฟุตบอลเครื่องเดียวกัน โดยนั่งเล่นเซฟเดียวกัน ลีกเดียวกัน เล่นกันสามทีม คนละทีม สนุกกันมากตอนนั้น เราทั้งสามคนก็จะมีเรื่องบลั๊ฟกันตลอด ตอนที่ทีมเราเจอกันเอง เป็นอะไรที่สนุกมากๆ

มาเรื่องบาส มันมีช็อตประทับใจอย่างหนึ่งของทีมนี้ก็คือ มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากที่เราทั้ง 5 คนไปกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว เราเห็นพี่ๆ ม.ปลายเล่นบาสกันอยู่ที่สนามแบบแพ้ออก ตอนนั้นไม่รู้ว่าพวกเราเอาความกล้ามาจากไหน ไปขอพี่เค้าต่อทีมด้วย เราเล่นไปเรารู้เลยว่า พี่ๆ ม.ปลายแต่ละทีมนี่มีแต่นักบาสเซียนๆ กันทั้งนั้น เราเล่นไปมีแต่แพ้ แพ้ แล้วก็แพ้ เรียกว่าเล่นยังไงก็สู้ไม่ได้

แต่นัดท้ายๆ เราแบบไม่รู้จะทำยังไง ทุกคนแบบหน้าไม่ไหวแล้ว เล่นยังไงก็สู้ไม่ได้ เราเลยรวบรวมแรงกายแรงใจ นัดสุดท้ายแล้วเราต้องเอาชนะให้ได้ซักนัดนึง นัดนั้นจำได้ว่าเราสู้กันอย่างเต็มที่มากๆ เล่นกันแบบว่าใส่กันหมด สุดท้าย เราก็ชนะจนได้ (แม่งเขียนไม่ให้ลุ้นเลย)

และเราก็ไม่รีรอครับ เราก็เอาไปโม้กับพี่พตว่าเราชนะพี่ ม.ปลายได้แล้ว และเราก็โดนตบหัวกันคนละที พร้อมกับผลการจับฉลากบาสกีฬาสีออกมา... ผมไปเจอกับแชมป์เก่าครับ...

ตอนนั้นต้องอุทานออกมาดังๆว่า... แม่งงงงงงงงงงงงงง...
เดี๋ยวจะมาเล่าต่อวันพรุ่งนี้ครับ
และรอติดตามว่า สุดท้ายแล้ว พี่เสือเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนได้ยังไง
โปรดติดตามตอนต่อไป

(พรุ่งนี้ครับ)
(เย้...มีเรื่องเขียนแล้ว คงได้อีกหลายตอนเลย 555 )

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 30 ตอน รถตู้

รถตู้ ไม่ใช่รถเมล์ จะได้มีรถรับส่งหลายคัน
รถตู้ ไม่ใช่รถทัวร์ จะได้ออกตามเวลา
รถตู้ ไม่ใช่รถไฟ้ฟ้า จะได้มาอย่างสม่ำเสมอ
รถตู้ ไม่ใช่รถยนต์ส่วนตัว จะได้มาวิ่งตามเส้นทางที่เราต้องการ
รถตู้ ไม่ใช่รถเมล์ รถทัวร์ รถไฟฟ้า
รถตู้ คือรถตู้

รถตู้ คือรถที่ไม่ออกตามเวลา
รถตู้ ต้องรอคนเต็มถึงจะออก
รถตู้ ถ้าคนมีเยอะเกินเราจะต้องรอ
รถตู้ ถ้าเราไม่รอ จะต้องนั่งเบียด
รถตู้ คือรถที่ขับเร็วกว่าแท็กซี่

ไม่สามารถบอกได้ว่า รถตู้กับรถแท็กซี่ รถอะไรขับแย่มากกว่ากัน แต่...
รถตู้ คือรถตู้

วันนี้เพลียเพราะรถตู้
ออกจากบ้าน 11 โมง ไปไม่ทันรถบ่ายโมงเพราะรถตู้
ออกจากบ้าน 11 โมง นั่งรอ 2 ชั่วโมงเพราะรถตู้
ออกจากบ้าน 11 โมง แต่ออกจากหมอชิตบ่าย 3 เพราะรถตู้
ออกจากบ้าน 11 โมง ถึงชัยภูมิ 2 ทุ่มเพราะรถตู้
ออกจากบ้าน 11 โมง ปกติถึงชัยภูมิ 6 โมงเย็นแต่ไม่ถึงเพราะรถตู้

วินรถตู้ดีๆ ก็มี
คนขับรถตู้ดีๆ ก็แยะ
รถตู้ที่นั่งสบายก็มีมาก
แต่วันนี้มันตรงกันข้าม

หมดแรง เบื่อ เพลีย
...จบ...

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 29 ตอน ความสุขระหว่างทาง

หลังจากผ่านมาเกือบจะครบเดือนและ เรียกว่าใกล้จะ 1 ใน 3 ของ 99 บทความแล้ว บอกเลยว่าผมมีความสุขอย่างมาก ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคนลุกขึ้นมาทำบล็อกบ้าง

น้องคนแรก ชื่อเจ้าบูม น้องคนนี้เป็นน้องที่ก็สนิทประมาณนึง เพราะอยู่ชมรมทำวารสารด้วยกัน เลยรู้จักกัน ประกอบกับอยู่หอในเหมือนกัน แต่คนละหอ ถือว่ามีจุดเชื่อมกันหลายจุดทีเดียว และเจ้าบูมนี่ก็เป็นคนนึง น่าจะเป็นคนเดียวที่แสดงตัวให้ผมรู้ว่าเข้ามาติดตามบล็อกผมอยู่เสมอ

สิ่งที่ทำให้รู้คือ บางวันผมไม่อัพบล็อก มันก็จะเป็นคนมาทวงหน้าเฟสบุค บางวันนั่งอัพอยู่ มาช้า แต่ก็ไม่ทันมัน บางทีมันมาโพสหน้าเฟสผมในระหว่างทำด้วยซ้ำ มันทำให้ผมรู้ว่า ไอ้นี่มันตามบล็อกจริง

และมันก็แอบมาคุยว่า มันเกิดแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง จากการตามอ่านบล็อกผม หรือว่าโครงการ 99 วัน 99 บทความของผม พอถามไปก็ไม่บอกนะว่าอะไร แต่ก็ช่างเถอะ รู้ว่ามีคนตามแค่นี้ก็มีแรงเขียนแล้ว

พี่คนที่สอง พี่คนนี้เป็นสามีของเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง เวลาผมมีปัญหาเรื่องความรักจะไปปรึกษามันตลอด ได้เรื่องบ้าง ไม่ได้เรื่องบ้าง ผมก็ทำตามได้บ้าง ไม่ได้บ้าง สุดท้ายก็ยังเป็นโสดเหมือนเดิม 555

มาเรื่องของพี่โจ ที่เป็นสามีของเพื่อมผมบ้าง คือพี่คนนี้เป็นพี่ทำงานของเพื่อนผม และก็เพิ่งแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้ว ปลายปีก็มีลูกมาให้เชยชมกันอย่างทันใจเลยทีเดียว และเหมือนผมก็เป็นแรงบันดาลใจให้พี่เค้าลุกขึ้นมาเขียนบล็อก ทั้งที่ปกติแกไม่เคยเขียน

เป็นบล็อกที่เล่าประวัติแก ทั้งเรื่องความรัก เรื่องนู่น เรื่องนี่ เหมือนแกมีเรื่องจะเล่าเยอะ พอเห็นผมเขียนบล็อกทุกวันเลยอยากที่จะลุกมาเขียนบ้าง รู้สึกดีจริงๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้พี่โจลุกขึ้นมาเขียนอะไรอย่างที่พี่อยากทำ

หลายคนอาจจะบอกว่า... เห้ย.!!! ผมหลงตัวเองหรือเปล่า พี่โจอาจจะอยากเขียนเองก็ได้

ไม่หรอกครับ แกมาบอกเองเลย ในบล็อกแก พูดชื่อผมจริงๆ เออ มันคงไม่ชื่อซ้ำหรอกมั้ง เล่นเขียนโต้งๆ เลยว่า ท็อป เพื่อนของภรรยา มันก็คงมีผมคนเดียวแหละ หรือมีคนอื่น... ไม่น่ามั้ง คนเดียวแหละ ไม่หลงตัวเองหรอก ถึงจะชอบหลังตัวเองบ่อยๆ ก็ตาม 555

สุดท้ายไปตามเรื่องความรักของพี่เค้าได้ที่ http://my-joe.blogspot.com/

ปล.วันนี้ยอมรับว่าไม่มีอะไรเขียน
ปล2. เป็นตอนที่ใช้เวลาเขียนนานที่สุด เนื่องจากวันนี้มีคนคิดถึงเยอะเหลือเกิน ทักมาคุยกันใหญ่ เขียนยรรทัดนึง เปิดแชตทีนึง 555

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 28 ตอน ทฤษฎีน้ำร้อน น้ำเย็น

ไม่นานมานี้ หรือนานแล้วไม่รู้ ผมได้รับทฤษฎีเรื่องน้ำมาใหม่ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ไม่แน่ใจว่ามันมาจากกลุ่มไหน พวกเพื่อนจากเกษตร หรือเพื่อนจากมัธยม หรือเพื่อนกลุ่มทำเว็บ ผมไม่แน่ใจจริงๆ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ให้เครดิต แต่ทฤษฎีมันมีอยู่ว่า

น้ำร้อนช่วยเปิดรูขุมขน น้ำเย็นช่วยปิดรูขุมขน

เป็นที่รู้กัน สำหรับคนที่ตามบล็อกผมในอาทิตย์นี้ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสุขภาพพุงให้มันป่องน้อยลงหน่อย และสุขภาพหน้า ที่ทำให้เหมือนกับอยู่บนโลกนิดนึง ไม่ใช้สแกนแล้วนึกว่าอยู่บนดวงจันทร์

และวิธีการที่ผมจะทำก็คือ การล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าที่เคยใช้แล้วมันหายสิวนั่นแหละ ผมเนี่ยไม่อยากจะโม้ ปกติสิวไม่ค่อยได้กินผมหรอก แค่ล้างหน้าดีๆ แค่นี้สิวก็ไม่มากินผมแล้ว แต่ทุกวันนี้ผมเนี่ยไม่ค่อยใส่ใจดูแลมันเท่าไหร่ หน้าตามันเลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น

และสิ่งที่ผมจะทำก็คือ ล้างหน้าด้วยโฟมทุกวัน ตื่นนอน และกลับถึงบ้าน และทุกเช้าหลังตื่นนอนก็จะไปออกกำลังกาย ทำมาได้ 4 วันและ ต้องลองดูต่อไปว่าจะได้ไปถึงไหน

และทฤษฎีข้างบนที่ผมเขียนไว้ก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจริงหรือเปล่า ที่น้ำร้อนเปิด น้ำเย็นปิด ผมก็จัดการลองกับหน้าตัวเองเนี่ยแหละ เพราะที่บ้านมีเครื่องทำน้ำอุ่น วิธีการก็คือ

เปิดน้ำร้อนล้างหน้า... เอาโฟมละเลงใส่ที่หน้า... ล้างออกด้วยน้ำร้อน

ผมทำแบบนี้เพื่อนที่จะให้สิ่งปฏิกูลที่อยู่บนหน้าออกไปให้หมด ก็ตามทฤษฎีคือ น้ำร้อนเปิดรูขุมขนนี่เนอะ

หลังจากนั้นผมก็จัดการปิดเครื่องทำน้ำอุ่น ให้น้ำที่เคยร้อนค่อยๆ เย็น โดยเอาหน้าอิงน้ำไปเรื่อยๆ จนมันเย็นถึงขีดสุด ก็เป็นอันเสร็จพิธี

ที่ผมทำก็เพื่อจะปิดรูขุมขน ในเมื่อเราล้างหน้าอย่างสะอาดไปถึงรูขุมขนแล้ว ก็ต้องปิดหน้าต่างมันหน่อย พวกสิงปฏิกูลจะไม่สามารถเข้ามาได้ง่ายๆ

เนี่ยแหละทฤษฎีน้ำร้อนน้ำเย็นของผม ไม่รู้จะได้ผลหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นความเชื่อผิดๆ หรือเปล่า ถ้ามันไม่ใช่ก็กรุณาช่วยแย้งผมที แล้วบอกวิธีที่ถูกต้องมาให้หน่อย ตอนนี้ผมพร้อมที่จะปรับแก้ตัวเองแล้ว เพื่อทำให้เป็นพี่เสือคนเดิมสมัยมัธยม

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 27 ตอน ข้อดีของหนังพากษ์ไทย

วันนี้มีโอกาสได้ไปดูหนังคนเดียว ตามประสาหนุ่มโสดอีกแล้ว เรื่องมิตตี้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะมาเขียนเรื่องหนังหรอกครับ เพราะมันเข้ามาหลายวันแล้ว โดยรวมก็ประทับใจมากๆ สำหรับเรื่องนี้ ทำผมน้ำตาซึมไปสองสามช็อตเหมือนกัน ส่วนจะเป็นฉากไหน ไปดูเอาเองนะครับ 555

วันนี้ขอเขียนถึงหนังพากษ์ไทยบ้างแล้วกัน หลังจากโปรปรามาสว่าไม่น่าดูบ้างล่ะ อารมณ์ไม่ได้บ้างล่ะ วันนี้ผมขอเขียนบทความสั้นๆ แก้ตัวให้กับหนังพากษ์ไทยซักหน่อยว่า จริงๆ แล้วหนังพากษ์ไทยบางเรื่องมันน่าดู และสนุกกว่าหนังซาวแทร็คเสียอีก

หนังที่ดูพากษ์ไทยได้
1. ก็ให้ดูพวกหนังบู้ตลก เป็นหนังบู้ที่ไม่ได้ดราม่า ไม่เครียดมาก เป็นหนังมีฉากบู้เยอะๆ มีช่วงที่ให้นักพากษ์ใส่ความเป็นทีมพากษ์เยอะๆ เนี่ยแหละจะเป็นหนังพากษ์ไทยที่โคตรมัน

2. การ์ตูนอนิเมชั่น ผมว่าคนไทยเนี่ยพากษ์ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าชาวต่างชาติเลย โดยเฉพาะหนังเรื่องไหนที่จ้างนักแสดงมาพากษ์ดีๆ นะ แล้วถ้าเลือกคาแร็กเตอร์ตัวละครตรงกับนักแสดงนะ ผมว่ามันน่าดูมาก โดยส่วนตัวเคยดูหนังบางเรื่องสองรอบทั้งไทยและซาวแทร็ค ผมบอกเลยว่า ได้อารมณ์ไม่ต่างกันเลยซักนิดเดียว

หนังพากษ์ไทยที่ห้ามดู
1. ดราม่า ห้ามดูเด็ดขาด เป็นกฎข้อห้ามประจำตัวผมเลย ถึงแม้ว่าเวลาจะได้ ทุกอย่างจะลงตัว ผมก็ยังแนะนำให้ดูซาวแทร็คอยู่ดี อย่าเสียเวลาดูเลยครับ เพราะโอกาสผิดหวังมันสูงมาก จริงๆ (เตือนแล้วนะ)

2. หนังตลก ต่างกับบู้ตลกนะครับ หนังตลกฝรั่งมันจะเป็นมุขตลกแบบฝรั่ง ซึ่งให้ดูพากษ์ไทยยังไงก็ดูให้สนุกและขำยาก จากประสบการณ์จากหนังเรื่องเดียวกัน ดูพากษ์ไทยนั่งทำหน้างง แต่พอดูซาวแทร็คผมกลับขำกลิ้งก็เคยมีมาแล้ว

3. บู้ดราม่า บู้เหมือนกัน แต่บู้ดราม่าก็ไม่ควรดู เพราะทีมพากบางทีมชอบใส่มุขตลกเข้าไป ซึ่งบางทีเราดราม่าอยู่ เราก็ไม่พร้อมตลก ดังนั้นถ้าเป็นเรื่องดราม่า ไม่ว่าจะบู้หรือจะดราม่าปกติ ก็ดูซาวแทร็คเถอะ

จบและ
ทุกอย่างผมเขียนจากประสบการณ์การดูหนังคนเดียวล้วนๆ และที่ผมมีโอกาสดูหนังทั้งซาวแทร็คทั้งพากษ์ไทย เพราะผมเป็นคนดูหนังไม่เลือก ผมเป็นประเภทที่แบบว่า เดินไปจิ้มหน้าโรงหนังตรงตู้ขายตั๋ว ยืนเลือกว่าหนังเรื่องไหนยังไม่ดู แล้วหนังเรื่องไหนที่พร้อมจะให้ดูเดี๋ยวนั้นเลย

บางครั้งไปยืนอยู่นานมากจนบางทีพนักงานเดินมาถามว่าให้ช่วยอะไรมั้ย และทุกทีผมก็จะตอบว่าไม่เป็นไร ยิ้มกลับไปแล้วบอกว่า ผมกำลังเลือกหนังที่จะดูอยู่ครับ 555

และถ้าวันไหนผมเจาะจงหนังที่จะดู ให้พึงระลึกไว้เลยว่า ผมเคยดูหนังเรื่องนี้แล้ว และอยากดูอีก อย่างล่าสุดผมเจาะจงไปดูเรื่อง Frozen มันก็เกิดมาจากการที่ผมอยากดูอีกรอบ ไม่ได้มีคนเล่าว่าน่าดูเลยไปดู

วิธีเสือในการเลือกดูหนังก็ประมาณนี้ครับ ขอให้มีความสุขกับการดูหนังนะครับ

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 26 ตอน ออกกำลังกาย

เมื่อหลายวันก่อนที่ผมโพสรูปไป แล้วก็เกิดกระแสบางอย่างต่อตัวผม เป็นฟี้ดแบ็คทางด้านดี คือเมื่อก่อนผมผอมมาก หุ่นนักกีฬา น้ำหนักแค่ 55 ตอนนี้ 70 กว่า  ลงพุง ทุกอย่างที่เป็นสิ่งบ่งบอกว่าอ้วน ผมมีอยู่ในตัวหมด



คือพอคนเห็นรูป แล้ว รวมถึงผมเองด้วยก็ตกใจมากๆ ชนิดที่ว่า ทำไมมันคนละเรื่องกับตอนนี้เลย มันคนเกียวกันเหรอว่ะเนี่ย... หลายคนก็ให้กำลังใจ หลายคนก็บอกให้ลด จนถึงความเห็นสุดท้ายของน้องดฟิร์นก็บอกถึงขั้นว่า

หลายคนอยากโตเป็นผู้ใหญ่ แต่หนูอยากเห็นพี่เป็นเด็กอีกครั้ง

จะพยายามนะ

และผมก็ตัดสินใจ หลังจากอาหารเช้า ผมก็เข้าไปฟิตเนสที่คอนโด เป็นฟิตเนสที่เค้าให้คนในคอนโดทุกคนเข้าไปใช้ ผมรู้มานานแล้วล่ะ แต่ไม่เคยแวะเข้าไปเลยซักที เมื่อวานก็ฤกงาม ยามดี ก็ถือโอกาสแวะดข้าไป

ที่คอนโดผมดีมากนะ นอกจากห้องฟิตเนสแล้ว ยังมีสระน้ำ มีห้องซาวน่า เรียกว่าครบรื่องิลยทีเดียว อยู่มาตั้งนาน รู้แหละแต่ไม่เคยเข้าไปใช้ ผมว่าข้อดีของคอนโดที่ไม่เหมือนบ้านคงอยู่ที่เรื่องนี้ล่ะมั้ง 555

และพอไปเล่น ผมก็ได้เคล็ดลับมา 1 อย่างหลังจากเล่นไปแล้ว 2 วันคือ จงเอาคลิปตลกๆ หรือคลิปอะไรที่ชอบเข้าไปดูด้วย

วันแรกผมเบื่อมากเลยครับ กว่าจะเล่นผ่านไปแต่ละอัน ปั่นจักรยานไป 10 นาที แต่เวลาเหมือนผ่านไปนานเป็นชัวโมง เบื่อๆ ต้องไปหาอย่างอื่นเล่น แล้วกลับมาปั่นใหม่ ก็เบื่ออีก เป็นอย่างนี้หลายรอบมาก

วันนี้ผมจึงตัดสินใจหิ้ว note 8.0 ไปด้วย ห้องฟินเนสกับห้องผมอยู่ห่างกันแค่ชั้นเดียว และอยู่ใต้ห้องพอดี ดังนั้นเรื่องสัญญาณไวไฟ ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่คิดผิดครับ ปรากฎว่าไวไฟแรงไม่พอเปิดคลิป เลยต้องหันไปใช้ true wifi แทน โชคดีอีกที่คอนโดนี้เป็นที่ตั้งกระจายสัญญาณ true wifi ของย่านนี้ สบายไปเลย

และวันที่สองผมเอาคลิปของเฟดเฟ่ไปดู ปรากฎว่า ฮาขี้แตกครับ ปั่นจักรยานไปครึ่งชั่วโมง ยังไม่เหนื่อยเลย คลิปจบซะแล้ว แหม่ มันดีจริงๆ คราวหลังใครที่คิดจะออกกำลังกายนะครับ คลิปตลกครับ หรืออะไรก็ได้ที่ดูเพลินๆ ครับ ป้องกันการเบื่อได้ดีมาก ได้ออกกำลังกายด้วย เพลินด้วย มันดีจริงๆ

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 25 ตอน มาฟุ้งกัน

ฟุ้ง... เป็นกริยา หมายถึงการกระจายออกไปอย่างไร้ทิศทาง
ฟุ้ง... เป็นกริยา ที่คำชอบเอามาใช้เวลาไม่มีอะไรทำ แล้วชอบฟุ้ง โดยการบอกเท่ๆ ว่า คิดอะไรฟุ้ง

ตอนนี้พี่เสือกำลังฟุ้ง
พี่เสือฟุ้ง เนื่องจากไม่มีอะไรเขียน
พี่เสือฟุ้ง ไม่ใช่ว่าพี่เสือไม่มีอะไรทำ
พี่เสือแค่ฟุ้ง เพราะไม่มีอะไรเขียน พอเขียนเสร็จ พี่เสือคงเลิกฟุ้ง

พี่เสือดูทีวี พี่เสือก็ฟุ้งว่า ทำไมนางเอกรับรักพระเอกยากจัง
พี่เสือดูบอล พี่เสือก็ฟุ้งว่า ทำไมมันเล่นไม่ดีเลย
พี่เสือดูหนัง พี่เสือก็ฟุ้งว่า หนังเรื่องนี้ทำไมเข้าใจยากจัง
พี่เสืออ่านหนังสือ พี่เสือก็ฟุ้ง คิดถึงเรื่องอื่น
พี่เสืออ่านนิยาย พี่เสือก็ฟุ้ง จินตนาการถึงตัวละครในนิยาย

ถ้าฟุ้งเป็นเรื่องเป็นราว ก็เรียกว่าฟุ้งเฉยๆ
แต่ถ้าฟุ้งทีละหลายๆ เรื่อง เค้าเรียกว่าฟุ้งซ่าน

ตอนนี้พี่เสือกำลังฟุ้งซ่าน
ขออภัยที่พี่เสือฟุ้งซ่าน
ขอโทษที่พี่เสือฟุ้งซ่าน

ถึงพี่เสือจะฟุ้งซ่าน แต่จิตใจไม่ได้ซาบซ่าน
พี่เสือจะเลิกฟุ้ง
พี่เสือจะไปทำงาน
พี่เสือต้องเลิกฟุ้งเพื่อทำงาน
ไว้เจอกันพรุ่งนี้ไม่ใช่เมือวาน
เมื่อพี่เสือเลิกฟุ้ง

...สวัสดี...

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 24 ตอน ไม่บอกรัก แต่รักมาก

วันนี้จะพูดถึงสิ่งที่รักมากๆ อย่างหนึ่งเลย คือ ลิเวอร์พูล ไม่ต้องห่วงครับ วันนี้จะพูดแต่เรื่องลิเวอร์พูลล้วนๆ ไม่แวะเรื่องอื่นเลย (ไม่เชื่อหรอก..")



จริงๆ เคยเขียนเรื่อง เมืองลิเวอร์พูล ไปแล้วครั้งหนึ่ง คราวนั้นด้วยเวลาจำกัด และไม่รู้จะเขียนอะไร เลยยกเรื่องเมืองลิเวอร์พูลในความทรงจำมาเขียนซะเลย แต่ครั้งนี้ต่างกัน

เหตุที่ทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาเขียนก็เกิดจากการที่วันนี้ ลิเวอร์พูลต้องทำศึกเอฟเอคัพ เป็นฟุตบอลถ้วยน็อกเอ้า แพ้คัดออกของประเทศอังกฤษ ตอน 4 ทุ่ม และผมปกติก็จะชอบดูบอลมาก ถ้าลิเวอร์พูลแข่ง และอยู่ในสถานที่ที่มีเน็ต จะต้องไม่พลาดดูอย่างแน่นอน วันนี้ก็เช่นกัน

ช่องทางในการดูของผมก็มีหลายทาง ถ้าพรีเมียร์ลีก ผมจะมีซิม AIS ที่สมัครดูไว้เดือนละ 299 บาทเพื่อดูลิเวอร์พูลในบอลพรีเมียร์โดยเฉพาะ

ช่องทางที่สอง เป็นช่องทางเอาไว้ใช้ดูลิเวอร์พูลในบอลถ้วยอื่นๆ ที่ CTH และช่องฟรีทีวีไม่มีถ่าย มันเป็นช่องเถื่อน ผมเสียเดือนละ 90 บาท แต่หลังๆ ไม่ค่อยใช้บริการ เพราะลิเวอร์พูลปีนี้ไม่ค่อยได้เล่นบอลถ้วย แต่เมื่อก่อนจะใช้ช่องนี้เป็นช่องหลักเลย

และวันนี้ครับ จากการที่ผมเสียเดือนละเกือบ 400 บาท ก็เพื่อที่จะหวังว่าได้ดูลิเวอร์พูลครบทุกนัดที่ผมต้องการจะดู และวันนี้ครับ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น วันนี้ผมไม่ได้ดูลิเวอร์พูล มันเป็นเหตุการณ์ที่ 100 ปีจะมีซักครั้งนึงมั้ง(เว้อไป)

คือวันนี้บอลเตะ ลิเวอร์พูลก็เป็นทีมที่มีแฟนบอลอยู่พอสมควร ในเมืองไทยนี่ จำนวนแฟนบอลเยอะเท่าๆ กับแฟนทีมแมนยูเลย และไม่มีถ่ายทอดสด มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นทีวีฝรั่ง จีน แขก อังกฤษ ไม่มีช่องไหนถ่ายเลยจริงๆ ครับ ไม่มีเลยจริงๆ

โชคดีที่ผมได้ไปเจอเว็บหนึ่ง ซึ่งเค้าไม่ถ่ายภาพนะ แต่เป็นเสียงรายงานสด ผมก็เออ ฝึกภาษาอังกฤษกันเลยทีเดียว ผมก็ฟังรู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง แต่ผมก็พอฟังออก เพราะผมชอบไปอ่านข่าวลิเวอร์พูลภาษาอังกฤษอยู่บ่อยๆ

เหนื่อยครับ ฟังไปก็ลุ้นไป ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง คำที่รอฟังคือ

Gooooooooooooooooooooal = ได้ประตู

และคำที่ไม่ชอบฟังคือ...

Super Save by Brad Jone (ผู้รักษาประตูของลิเวอร์พูล)

ไม่เคยคิดว่าตัวเองชอบฟุตบอลมากขนาดไหนนะ แต่จากเหตุการณ์นี้มันทำให้ผมรู้ว่า ทำไมผมมันบ้าฟุตบอลจังว่ะ คือไม่มีถ่ายทอด ก็ยังพยายามหาเสียงมาฟัง ฟังไม่ออกก็ยังจะฟัง และมันก็ทำให้ผมรู้ว่า ทักษะการฟังภาษาอังกฤษของผมมันห่วยขนาดไหน

ผมว่า ผมต้องฝึกฟังให้มากๆ กว่านี้แล้วล่ะ เผื่อนัดไหนไม่ถ่ายอีก จะได้ฟังรู้เรื่องบ้าง เห้อๆๆๆ

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 23 ตอน โปสการ์ดบนยอดภูกระดึง

ปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปเยือนยอดภูกระดึง ที่มีสโลแกนที่ไม่รู้ว่าใครคิดขึ้นมาว่า

"  ครั้งหนึ่งในชีวิต พิชิตภูกระดึง"

และปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปถึง 2 ครั้งด้วยกันทั้งต้นปีและปลายปี มีความประทับใจเยอะแยะมากมาย ซึ่งตอนนี้จะไม่ขอเล่าแล้วกัน แต่วันนี้ขอเจาะจงเรื่องโปสการ์ดล้วนๆ สั้นๆ

ปีที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปเที่ยวเยอะมาก และจริงๆ ผมก็ไม่ใช่คนชอบส่งโปสการ์ดอะไรเท่าไหร่ ไปเที่ยวก็อยากเที่ยวไม่ได้อยากจะส่งความสุขให้กัยใครที่ไหน และการเขียนโปสการ์ดครั้งแรกก็เกิดขึ้นจากการไปภูกระดึงเนี่ยแหละ โดยผมมีความคิดว่า

"  กว่าจะขึ้นไปถึง มันต้องเหนื่อยแน่ๆ เลย ดังนั้นขอฝากความเหนือยให้กับคนข้างล่างหน่อยแล้วกัน"

ไม่ผิดหวังครับ ก่อนขึ้นผมเตรียมตัวไปอย่างดี จดชื่อที่อยู่ไปสองหน้ากระดาษเต็มๆ และก็เขียน เขียน และก็เขียน จนเพื่อนทักว่า พอได้แล้ว คือเค้ารอลงภูกันหมดแล้ว แต่ผมก็ยังไม่หยุดเขียน (เกรงใจเหมือนกันแต่ก็มันยังเขียนไม่เสร็จ 555 )


และก็ไม่ได้เยอะมากมายครับ นับได้ประมาณ 20 กว่าใบ เขียนจนเมื่อยมือเลย และแต่ละคนที่ผมเขียนนี่ไม่มีสั้นครับ ถ้าเขียนสั้นๆ มันไม่ใช่ผมแน่นอน ประกอบกับที่อยู่บนภู หนาวๆ บรรยากาศมันได้ เลยทีนี้เขียนใหญ่เลย แต่ละคนที่ได้รับคงประทับใจ

แต่... หลังจากที่กลับมาถึงกรุงเทพ กว่าโปสการ์ดจะมาถึงก็ผ่านไปหลายเดือน กว่าคนแรกจะได้ แล้วแบบพอถามๆ ไป หลายคนไม่ได้ด้วยซ้ำ บางคนไม่ได้จนกระทั่งผมจะไปขึ้นภูรอบที่สองปลายปี เค้าก็ยังไม่ได้ และก็คิดไว้แล้วว่า... คงหมดโอกาสแล้วล่ะ

รอบที่สอง ทีนี้ผมก็เตรียมตัวไปอย่างดีเหมือนกัน แต่ไม่ได้เตรียมรายชื่อไปเยอะเท่ารอบแรก แต่ก็ถือว่าเยอะพอสมควร รอบนี้ไปกับเพื่อน พี่ น้องจากเกษตรสาน กลุ่มเพื่อนทำหนังสือตอนมหาวิทยาลัย และก็ไม่ผิดหวังครับ แต่ละคนนี่เตรียมรายชื่อมาเยอะมากๆ เรียกว่าเขียนไปไม่เหงาเงย

แต่รอบนี้ผมไม่ได้เขียนบนภู ผมหิ้วโปสการ์ดจากบนภูมาเขียนข้างล่าง ผลปรากฎว่า...

ปรากฎว่า... เหนื่อยครับ จริงๆ ผมเป็นคนเขียนโปสการ์ดยาวนะ แต่รอบนี้ไม่มีแรงเขียนจริงๆ หมดแรงกว่าจะลงมาถึง และแบบพอพักก็ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเขียน รอบนี้แต่ละคนเลยได้เวอร์ชั่นที่แบบสั้นๆ สั้นมากๆ ไป รู้สึกขัดใจเหมือนกันที่ทำอะไรแบบนั้น


แต่รอบนี้ มันแปลกกว่ารอบก่อนตรงที่ โปสการ์ดถึงเร็วมาก เรียกว่าผมยังไม่ทันหายเหนื่อยจากการเดินทาง ก็มีเพื่อนๆ มาโพสขอบคุณ ขอบใจเรื่องโปสการ์ดกันเต็มไปหมดแล้ว มันเป็นอะไรที่หายเหนื่อยเมื่อเห็นรอยยิ้มของเพื่อนๆ ไม่เหมือนรอบก่อนที่กว่าจะมีคนแรกมาโพสของคุณ ผมแทบลืมไปแล้วว่าเคยไปภูกระดึงมาด้วย

สุดท้าย 
ผมขอฝากคำเตือนการเขียนโปสการ์ดบนยอดภูกระดึงไว้ว่า...

1. จงเขียนความรู้สึกจากบนภู เพราะมันจะได้ฟิล ได้บรรยากาศ และมันจะทำให้เราอินและเขียนได้น่าอ่าน น่ารับมากกว่าการเขียนจากตีนภู

2. จงส่งโปสการ์ดที่ตีนภู เพราะมันจะถึงเร็วและถึงชัวร์กว่ามากๆๆๆๆ เน้นว่า มาก(ตัวใหญ่ขีดเส้นใต้)

3. โปสการ์ดที่ผาหล่มศักดิ์สวยกว่าตรงที่พัก แต่แพงกว่า

4. ตีนภูก็มีโปสการ์ดขาย

5. ส่งโปสการ์ดไปต่างประเทศติดแสตมป์ 15 บาท

6. ตีนภูก็มีแสตมขาย ราคาเท่ากัน...

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 22 ตอน เมื่อมีคนมาบอกว่าเคยแอบชอบ

สวัสดีค่ะพี่ท็อป หนูเคยแอบชอบพี่นะ...

นี่เป็นคำทักทายแรกของน้องคนหนึ่งที่เคยเรียนด้วยกันตอนมัธยม

เอาจริงๆ ผมไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ ที่มีคนมาแอบชอบผมในตอนนั้น จะว่าหยิ่ง ทระนงตัว ก็ได้ แต่ช่วงมัธยมของผมมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ผู้ชายเล่นบาส 3 เวลาหลังอาหาร ประธานคณะสี ประธานนักเรียน เรียกว่าชีวิตช่วงมัธยมเป็นช่วงขาขึ้นมากๆ

(เห็นรูปผมแล้วก็ไม่แปลกใจใช่ม่ะว่าจะมีคนแอบชอบ 555 #หลงตัวเองชิบหาย)

จริงๆ ผมรู้สึกดีทุกครั้งนะที่มีคนมาชอบผม และยิ่งรู้ว่าเค้าสนใจเรามากขนาดไหนยิ่งรู้สึกดี และน้องคนนี้ทำให้ผมแปลกใจหลายๆ เรื่อง

1. บอกว่า ตามหาเฟสบุคผมตั้งแต่เล่นเฟสครั้งแรกๆ 
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือล้อเล่น แต่การที่คนนึงบอกว่าตามหาเฟสคนๆ นึงมานาน มันไม่ใช่เรื่องที่ธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นผมจึงประทับใจมากๆ และชื่อเฟสผม Tiger Sky สำหรับสมัยมัธยมแล้ว คงไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูอย่างแน่นอน ตอนนั้นผมยังใช้คำว่า suatop(เสือท็อป) มากกว่า มันจึงไม่ใช่เรื่องที่ธรรมดาเลยที่ใครสมัยมัธยมจะตามหาเฟสผมเจอ ส่วนกว่าจะเป็น Tiger Sky ก็ตามไปคลิ๊กที่ ลิ้งนี้ เลยครับ

2. บอกว่า ผมชอบเป่าขลุ่ย...
เรื่องนี้มันบ้ากว่าเรื่องแรกอีกนะครับ คือถ้าไม่ใช่น้องสาว ไม่ใช่ปู่ ไม่ใช่ย่า ไม่ใช่ป้าแล้ว จะมีใครรู้บ้างว่าอยู่บ้านว่างๆ หรือเวลาว่างๆ สมัยมัธยมผมชอบหยิบขลุ่ยมาเป่าเล่น และชอบเป่าเพลงฮิตๆ มาเป็นโน้ตขลุ่ย เอาให้เป็นเพื่อนเถอะ มันจำจำได้หรือเปล่าว่าผมชอบเป่าขลุ่ย

3. เก็บเฟรนชิบที่ผมเขียนไว้ แล้วเอามาให้ดู
เรื่องนี้ไม่แปลก แต่ที่แปลกคือ ทั้งสัญลักษณ์ ทั้งคำพูด ทั้งลายมือ มันคือใช่ ผมคนนี้เลย คนนี้นี่แหละ และน้องคนนี้ผมไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวนะ ตอนที่เขียนให้นี่เรียกได้ว่า เขียนจนเต็มหน้า แบบเห้ย...ผมไม่เปลียนไปเลยเหรอว่ะเนี่ย

คือตกใจที่...
..........ตัวเองชอบเขียนมาแต่เด็ก แม้จะเป็นคนไม่รู้จัก แต่ก็เขียนเฟรนชิบได้เต็มหน้า
..........ตัวเองมีความฝันการเป็นนักข่าวกีฬามาตั้งแต่เด็ก และตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน
..........ตัวเองใช้สัญลักษณ์มาตั้งแต่เด็ก(อันนี้รู้แล้ว) และบอกให้คนอื่นจำสัญลักษณ์นี้ไว้ด้วย

และข้อความหนึ่งที่ผมเขียนให้น้อง และผมประทับใจมากๆ คือ


เอารูปไว้ดูต่างหน้า
อนาคตคอลัมนิส
หนังสือพิมพ์กีฬาแห่งหนึ่ง
จำสัญลักษณ์ทางซ้ายไว้

ขออุทานมาดังๆว่า... แม่เจ้า... ความฝันเราไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงตอนนี้
และไม่ใช่แค่ความฝันไม่เปลี่ยน ยังเที่ยวเอาความฝันตัวเองไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านเค้ารู้ไปทั่ว ไอ้เสือนี่มันน่า...(จงเติมคำในช่องว่าง)...ชะมัด

สัญลักษณ์ ความฝัน การชอบขีดๆ เขียนๆ มันไม่เคยหายไปจากตัวเราเลยตั้งแต่วินาทีที่จบจาก ม.6
ตอนนี้ผมรู้สึกมีไฟลุกโชนอีกครั้ง ต้องขอบคุณน้อง...(เค้าบอกว่าไม่ให้เขียนชื่อ)...มากๆ ที่มาจุดไฟให้พี่อีกครั้ง ขอบคุณจริงๆ

ขอบคุณที่คิดถึงกัน
ขอบคุณที่ตามหากันมาตลอด
ขอบคุณที่มาชวนคุยจนดึก
ขอบคุณที่มาจุดไฟให้พี่อีกครั้ง
ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้พี่
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ... ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร แต่อยากให้น้องจำไว้ว่า พี่แม่งโคตรรู้สึกดีเลยว่ะ

ยังไง สัญลักษณ์นั้นพี่ก็ยังไม่เปลี่ยนนะ ขอบคุณที่มาเตือนความจำพี่
ขอบคุณที่มาเตือนสติพี่

น้องอาจไม่รู้หรอกว่าพี่รู้สึกดีขนาดไหน มันอาจจะแสดงออกผ่านตัวอักษรไม่ได้
แต่พี่โคตรรู้สึกดีเลยว่ะ...และคิดว่า น้องน่าจะรออ่าน และน้องคงเป็นคนแรกที่จะได้อ่านเมื่อพี่เขียนบล็อกนี้เสร็จ และอยากจะบอกอีกทีว่า

ขอบคุณมากกกกกกก...


วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 21 ตอน น้องโฟว์จอมตื้อ

วันที่ 20 ได้หายไปแล้ว ต้องบอกว่าอันนี้ไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆ เหตุที่ให้ต้องหายเนี่ย ไม่ได้คาดคิดเลยจริงๆ ว่ามันจะหายไป แต่ก็มีความสุขมากๆ ที่ถึงแม้ไม่ได้มานั่งเขียนบทความ แต่ได้ไปทำอย่างอื่นที่ผมจะขอมาเล่าในบทความนี้แทน

เมื่อวานนี้เป็นวันที่ 1 มกราคม 2556
วันนี้ผมมีนัดปาร์ตี้สุดท้ายของช่วงเทศกาลปีใหม่ที่บ้านฝ้าย ที่เป็นเพื่อนผู้หญิงตั้งแต่สมัยมัธยม และก็มีเพื่อนมัธยมมาอีกหลายคนทั้งหญิง ที่คบกันตั้งแต่อนุบาล นุชกับวา ที่มาเจอกันตอน ป.3 ตอนที่ผมย้ายโรงเรียน และฝ้าย ที่มาเจอกันตอนขึ้น ม.1 ทั้งหมดที่ว่ามานี้ เราอยู่ด้วยกันจนจบ ม.6 ความผูกพันเรียกว่าแน่นแฟ้นเลยทีเดียว



และสมาชิกที่เพิ่มมาใหม่ในกลุ่มเราคือ น้องโฟร์ ลูกสาวแสนสวยของแม่วา ที่มาอายุได้เกือบ 4 ขวบในเดือนนี้ คนนี้แหละครับมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผมไม่เป็นอันทำอะไรเลยตลอดช่วงบ่ายของงานปาร์ตี้

กว่าผมจะไปถึงงานปาร์ตี้ก็ประมาณบ่ายสามโมง ผมขี่มอเตอร์ไซต์จากบางนา ตรงดิ่งถึงบางบ่อระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร และทันทีที่ถึงบ้านฝ้าย ยังนั่งพักไม่ทันหายเหนื่อย น้องโฟร์ก็เดินเข้ามาหา มาจูงมือ มาทักทาย ผมก็ อ่ะ ลูกเพื่อน ก็อุ้มเล่น ก็ชวนกินขนมอะไรเป็นเรื่องปกติ

และเหตุการณ์ก็เลยเถิด วินาทีที่ผมอุ้มน้องโฟว์ มันเหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่างแฝงอยู่ ผมอุ้มน้องโฟร์ด้วยการอุ้มขึ้นอุ้มลงอย่างรวดเร็ว ทีนี้ล่ะ น้องโฟว์สนุกซิครับ ให้ผมอุ้มใหญ่เลย จนผมเหนื่อยไปซักพัก น้องโฟว์ชวนมาเล่นจิงโจ้อีก

ตอนนั้นผมด้วยความเป็นนักกีฬาเก่าก็ยังชิวๆ การเล่นจิงโจ้ของน้องโฟคือ เราจะเต้นรอบเสา และน้องโฟร้องเพลงจิงโจ้ ผมก็ต้องเต้นไปกับน้องโฟร์ พอจบเพลง เราก็ต้องมาวิ่งไล่จับกัน และความเหนื่อยก็เริ่มจากตรงนี้ครับ เราเล่นกันหลายรอบมาก เล่นจนผมหอบ แต่น้องโฟว์ก็ไม่มีทีท่าจะเหนื่อย จนผมไม่ไหว ต้องไปนั่งพัก

พอนั่งพัก น้องโฟว์ก็มาเดินเล่น จับมือ จูงมือให้ผมไปเล่นอีก ผมก็เลยไม่เล่นและจิงโจ้ หันมาเล่นเครื่องบิน วิธีการก็คือ จับน้องโฟว์อยู่ในท่าขนาดพื้น และก็อุ้มวิ่งไปวิ่งมารอบบ้าน ทีนี้ล่ะ น้องโฟว์ดันสนุกกว่าตอนเล่นจิงโจ้อีก งานเข้าผมแล้วทีนี้

พอน้องโฟว์รู้วิธีการเล่นเครื่องบิน หลังจากนั้น ไม่ว่าผมจะทำอะไร น้องโฟว์ก็จะเดินมาบอกว่า "บิน บิน บิน" ผมก็ด้วยความที่ไม่อยากขัดเด็ก ก็เอา บินก็บิน และก็พาบินไปตามแต่น้องโฟว์ต้องการ จนแบบรอบนี้ผมหอบจริงจัง บินจนผมไม่ไหว

ยอมรับเลยว่าช่วงนี้ถึงแม้ว่ายังอยู่ในวัยกลางๆ เลขสอง แต่ด้วยความที่ไม่ได้เล่นกีฬาหักโหมแบบช่วงมัธยมแล้ว มันเหนื่อยครับ แล้วต้องอุ้มน้องโฟว์ที่น้ำหนัง 20 กว่ากิโลวิ่งไปวิ่งมานี่ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะครับ

พอเล่นเสร็จ ผมก็มานั่งพัก แล้วก็คุยกับพี่เบ้นและเพื่อนๆ ว่า เด็กนี่มันไม่รู้จักเหนื่อยเลยเนอะ

พี่เบ้นก็บอกว่า "มันจะเหนื่อยไรล่ะ ก็มันใช้เราให้อุ้มวิ่งไปวิ่งมาอย่างเดียว มันไม่เห็นจะเหนื่อยเลย"

ผมก็...เออว่ะ จริงด้วย มันจะเอาอะไรมาเหนื่อย ผมเหนื่อยคนเดียวน่ะถูกแล้ว

จริงๆ ผมเนี่ยไม่ชอบเด็กเอาเลยนะครับ มันมีความยุ่งวุ่นวายอยู่ในตัว ซึ่้งจริงๆ ผมค่อนข้างรำคาญด้วยซ้ำ แต่พอเด็กมางอแง มาเล่น มาอ้อนทีไร ผมเป็นต้องใจอ่อนทุกทีไม่รู้ทำไม

แต่แปลกนะ พอผมเล่นกับน้องโฟว์ ผมเนี่ยรู้สึกสนุกดี และลืมเวลาไปเลย หันมาดูเวลาอีกทีก็เกือบหกโมง เหมือนย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เหนื่อยมาก แต่สนุกมากเล่นกัน

น้องโฟว์เป็นเด็กที่น่ารักครับ เชื่อฟัง ไม่งอแง ขี้อ้อน แต่ถ้าเราไม่เล่นก็จะไม่งอแง แต่ก็จะเข้ามาจอแจ เข้ามาอ้อน จนบางทีผมก็ใจอ่อนทุกที สงสัยผมแพ้ผู้หญิงขี้อ้อนครับ

จริงๆ ตอนนี้ผมก็ยังโสดนะ และพอเล่นกับน้องโฟว์ก็ชักอยากมีลูกขึ้นมาเหมือนกัน ผมชอบผู้หญิงขี้อ้อนนะครับ ใครรู้ตัวว่าขี้อ้อน ลองมาคุยกับผมได้นะ เผื่อถูกใจ (ขายของซะงั้น)

จบบล็อกเลยแล้วกันวันนี้ และวันพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ผมจะมาเล่าเรื่องปีใหม่ทั้ง 4 งานที่ไปร่วมมา เรียกว่า สนุกทุกงาน แต่ละงานก็มีอะไรที่แตกต่างกันไป ลองตามอ่านกันดูนะครับ คาดว่าหลายคนที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้ ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานใหนซักงานหนึ่งแน่ๆ...