วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ Day 19 ตอน สวัสดีปีใหม่

สวัสดีปีใหม่ครับ

(สั้นๆ แบบนี้แหละ )


วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ Day 18 ตอน ปาร์ตี้ปีใหม่ที่สาม กับของขวัญ 30 บาท

วันนี้เป็นวันดีอีกวันหนึ่ง และเป็นอีกปีหนึ่งที่น่าจดจำสำหรับปาร์ตี้ส่งท้ายปีใหม่ ซึ่งเกษตรสาน หรือกลุ่มคนที่ทำวารสารแจกในเกษตรก็ได้จัดงานปาร์ตี้ขึ้นอีกเหมือนเดิมแต่ที่ใหม่

ปกติปาร์ตี้เกษตรสานจะจัดไม่ที่ร้านครัวมุกดาหารที่หน้า ม.เกษตร ก็จะเป็นร้านกิ๊ก แต่ปีนี้เราไม่ไป เนื่องจากเบื่อครัวมุกดาหารและกิ๊กก็ได้เป็นแม่คนไปแล้ว ทำให้ตอนนี้กิ๊กย้ายไปอยู่บ้านสามี ที่เป็นครอบครัวใหญ่ ครั้งจะไปจัดงานที่บ้านกิ๊กก็จะดูเป็นการรบกวนกันเกินไป

ปีนี้เรามาจัดที่ร้าน V24 ที่ใหม่ เวลาเดิมตอน 1 ทุ่มตรง ซึ่งเกษตรสานมีธรรมเนียมการจับของขวัญมาตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่า ราคาของจะอยู่ในวงเงิน 30 บาท พวกเราถือกันว่า การจับของขวัญ ส่วนใหญ่เราจะไม่ค่อยได้ของที่ถูกใจนักหรอก ดังนั้น เราก็ขอจ่ายค่าความไม่ถูกใจแค่ 30 บาทก็พอ ส่วนเงินที่เหลือ เอาไปใส่ในงานปาร์ตี้ให้สุดเหวี่ยงดีกว่า

ซึ่งปีนี้เราก็พิเศษอีก เนื่องด้วยปีหน้าเป็นปีม้า เราจึงจัดของขวัญในธีมม้า ไม่ใช่แต่งตัวเป็นม้ามาเข้างานนะครับ แต่ของขวัญจะต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับม้า แต่ละคนก็ครีเอทกันสุดฤทธิ์ ตั้งแต่ ม้าล้า จากพี่ป็อก, ม้านั่ง จากมิก, ดินสอตราม้า จากพี่เนสและพร, ตัวอักษร ก-ฮ ที่มี ม.ม้า อยู่ในนั้นของพร ซึ่งแต่ละอย่างก็ครีเอทกันสุดๆ สมกับเป็นเกษตรสานกันเลยทีเดียว

และก่อนงาน ก็มีการแจกของเล็กๆ น้อยๆ จากพี่ป็อก ที่แบกสุราเมรัยมาจากรัสเซียเพื่อมาแจกงานนี้โดยเฉพาะ เรียกว่าอบายมุขทั้งหลาย จัดเต็ม


แถมยังไม่พอ น้องหยินยังพกถุงยางจากอเมริกามาแจกทุกๆ คนอีกคนละ 1 อัน เป็นที่ถูกอกถูกใจหนุ่มๆ กันเลยทีเดียว

เกษตรสานเป็นแหล่งรวมคนที่รักการทำหนังสือ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่รักการเขียนหนังสือ และก็มาเข้าชมรมนี้ เรียกว่าอยู่มหาลัย ผมอยู่ชมรมมากกว่าอยู่ที่สาขาวิชาเสียอีก อยู่ทั้งวันทั้งคืน

ผมมีความอยากทำงานด้านสื่อสารมวลชนอยู่แล้ว แต่ด้วยคะแนนตอนแอดมิสชั่นผมไม่พอที่จะเข้าคณะสื่อสาร ผมจึงเข้าคณะที่ผมเรียนได้อย่างศึกษาศาสตร์ เอกการสอนคณิตศาสตร์ ซึ่งหลังจากที่เข้ามาเรียนแล้ว ผมก็ดิ้นรนกับการทำงานทางด้านสื่อ จนมาพบกับชมรมเกษตรสาน

ผมว่าผมบางทีก็ไม่สามารถเลือกทางเดินเองได้ตามดั่งใจต้องการ แต่เราสามารถแวะได้ตามแต่ในปราถนา และระหว่างเรียนผมก็เลือกแวะมาที่เกษตรสาน เป็นชมรมเดียวที่ผมอยู่ และก็รับเพื่อนกลุ่มนี้มากๆ เรามีปาร์ตี้ มีไปเที่ยวกันตลอด ถึงแม้ว่าตอนนี้แต่ละคนจะแยกย้ายไปทำงานกันหมดแล้ว แต่พวกเราก็ยังหาเวลามาพบปะ สังสรรค์กันอยู่เสมอ

คนเราอาจจะคบเพื่อนได้มากมาย แต่ต้องหาเพื่อนที่สนิทจริงๆ ให้เจอ เหมือนที่ผมเจอ เรียกว่ามองหน้าก็รู้ใจกัน บางทีไม่ต้องพูด นี่แหละเป็นความสุขมากๆ ที่ผมได้มารู้จักกับเพื่อน กับชมรมนี้

ขอบคุณเกษตรสานที่ทำให้ผมมีวันนี้ (น้ำเน่าไปป่าวว่ะ) แต่ขอบคุณจริงๆ ทีให้ประสบการณ์ทั้งการบริหาร การเขียนหนังสือ จนพี่เสือเป็นพี่เสือจนถึงทุกวันนี้ ขอบคุณจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ Day 17 ตอน ของขวัญที่ไม่อยากแกะ

วันนี้ผมได้กล่องของขวัญมากล่องนึง ผมไม่รู้หรอกครับว่าข้างในมันคืออะไร แต่ผมเห็นสภาพกล่องแล้วเนี่ย ผมจ้องอยู่นานมาก จ้องอยู่เป็นวันครับ ไม่กล้าแกะจริงๆ กลัว รู้สึกว่า เสียดายการห่อจริงๆ


ดูซิครับ แล้วพิจารณาเอง คุณจะแกะได้ลงคอเหรอครับ ผมคนนึงล่ะ ที่เห็นครั้งแรกแล้วแกะไม่ลงจริงๆ อยากให้มันเป็นกล่องของขวัญไปแบบนี้เรื่อยๆ ดีกว่า

วินาทีที่ตัดสินใจแกะ ผมก็คิดอยู่ว่าจะค่อยๆ แกะ แต่พอปลิกไป พลิกมา พบว่ารอยต่อของกระดาษห่อของขวัญนั้นไม่ได้ติดสก็อตเทป แต่เป็นการใช้กาวใส กาวปืนที่เค้าเอาไว้ใช้ทำดอกไม้ถ้านึกออก

ดูความตั้งใจของคนให้ครับ เค้าตั้งใจทำให้ขนาดไหน พอผมดูแล้วก็ยิ่งไม่อยากแกะไปกันใหญ่ แต่แบบ เอาเถอะ ยังไงก็ต้องพยายามแกะ และก็ทำให้เหลือในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

พอแกะชั้นแรกออกปุ๊ป ไปถึงชั้นที่สอง ก็เป็นกระดาษสาบางๆ ห่อเอาไว้อีกชั้น มันทำไรไม่ได้จริงๆ ครับชั้นนี้ ต้องฉีกออกจริงๆ ทำใจอยู่แปปนึง แต่ก็ต้องจำใจฉีกครับ

พอฉักเข้าไปก็ไปเจอชั้นที่สาม อันนี้เป็นการห่อแบบการห่อของขวัญปกติ โอเค อันนี้ทำใจฉีกได้อย่างสบายใจหน่อย กว่าจะสบายใจก็ปาเข้ามาถึงชั้นที่สาม

พอชั้นที่สี่ เป็นกล่องและ ทีแรกที่คิดไว้ถ้าเป็นกล่องปกติ คงจะเปิดทางฝาแล้วหยิบของข้างในออกมาเลยและจะได้ไม่เสียสภาพกล่องของขวัญที่ห่อแล้ว แต่ปรากฎว่า

มันเป็นแบบฝาเปิดข้างบน ซึ่งหมายความว่า ยังไงซะก็ต้องดึงกล่องออกมาก่อนอยู่ดี แล้วสิ่งที่ทะนุทนอมทั้งหมดก็คงจะไม่สมดังใจหมาย ก็ไม่เป็นไร ผมก็พยายามดึงไม่ให้กล่องกระดาษชั้นนอกสุดมันขาด ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละชั้นเค้าได้ติดสก็อตเทปเชื่อมไว้ #ร้องไห้แปป

สุดท้ายก็เป็นกระเป๋าสตางค์อย่างดี ยี่ห้อ Lacoste ที่ผมถูกในเลยล่ะ... ยังไงก็ขอบคุณพี่กิ๊ฟและน้องสลิ่มมากๆ นะครับสำหรับของขวัญชิ้นนี้ ขอบคุณมากจริงๆ

จบดื้อๆ อย่างนี้แหละครับ จริงๆ ที่มาช้าเนี่ยเพราะว่ากลับมาถึงบ้านแล้ว นั่งอัพรูปงานปีใหม่ เสร็จแล้วหงส์ก็มาพอดี(แพ้อีกนะ) ก็เลยกว่าจะได้เขียน ก็เนี่ยแหละครับ

เจอกันใหม่สำหรับวันพรุ่งนี้นะครับ

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ Day 16 ตอนรถตู้ชัยภูมิที่ไม่เคยมี

วันนี้มีธุระเดินสายไปงานปีใหม่ชัยภูมิ ตั๋วรถทัวร์ไม่มีเพราะจองไม่ทัน เราก็รู้ตั้งแต่วันไปจองแล้วล่ะว่ามันคงเต็ม แต่ใส่ใจอะไร เราแค่คิดว่ายังไงจะต้องมี รถกากยีงไง มันต้องมีซักคัน รถทัวร์ไม่มี รถตู้ก็ต้องมี คือไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่ามันต้องมีซักทาง บ้ามากๆ

เป้าหมายตอนนั้นก็คือ
1.มันต้องมีคนมาไม่ทัน หรือทิ้งตั๋ว และเรามาคนเดียว เราก็มีสิทธิ์

2. มันต้องมีรถทัวร์เสริม จะ ป.1 ป.2 มันต้องมีซักคันจริงๆ

3. รถตู้ ทางเลือกสุดท้ายมันต้องมี ถึงแม้ว่าไม่ไปชัยภูมิ จังหวัดใกล้ๆ ชัยภูมิมันก็ต้องมี รถโคราช ขอนแก่นเยอะแยะ มันต้องมี

ด้วยทางเลือกสามทางทำให้ไปด้วยความมัานใจว่าวันนี้ต้องถึงชัยภูมิแน่ เมื่อคืนกลับถึงบ้านตีห้า ตื่นมาเกือบเจ็ดโมง ง่วงสุดๆ ฝืนสังขารลุกมา เพื่อไปหมอชิต และก็ไปถึงประมาณ 9 โมงเช้า

และหลังจากลงจากรถ ก็พยายามมองหาป้ายรถตู้ชัยภูมิตลอดทาง ซึ่งไม่มี เราก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงเค้าเตอร์ขายตั๋วประจำ หลังจากนั้นก็ถาม และเค้าก็บอกมาอย่างที่คาดคือ เต็มครับ

แต่หลังจากนั่น แปปเดียวชั่วอึดใจ กำลังจะไปหาช่องทางอื่นๆ ต่อ ก็มีชายนิรนามเข้ามาหาด้วยจุดประสงค์ที่เรารู้อยู่แล้ว คือ

น้องๆ ไปชัยภูมิป่าว เนี่ยพี่มีรถตู้ คนละ 350 ไปมั้ย

เราวินาทีนั้นก็ตัดสินใจแบบไม่ต้องคิดเลย และตอบไปว่า "ไปครับ"

ในหัวคิดว่า ก็ยังดีกว่าไม่มีรถ และจินตนาการว่า คงเป็นรถตู้กากๆ ที่แบบต้องนั่งเบียดกัน มีเก้าอี้เสริม กว่าจะถึงชัยภูมิคงเหนื่อย แต่ผิดคาดครับ เป็นรถตู้ที่ดีมาก ให้นึกถึงรถตู้เช่า ดีขนาดนั้น และไม่มีเก้าอี้เสริม พอเต็มปุ๊ป ออกเลย ไม่มีเบียด ที่นั่งจัดว่าดีมากๆ

เนี่ยแหละเรื่องดีที่ผิดคาด และไม่ได้ทำใจมาก่อน มีเรื่องผิดคาดมากกว่านี้คือ

รถวิ่งไปทางไหนก็ไม่รู้ คือจ่กกรุงเทพถึงชัยภูมิเนี่ย ทางเดิม แต่พอรถเข้าเขตชัยภูมิเท่านั้นแฟละ เรียกได้ว่า รถ วะส่งทุกคนถึงหน้าบ้านเลย แบบนึกว่าแท็กซี่ วิ่งไปทุกอำเภอชัยภูม และไปส่ง บขส. ชัยภูมิเป็นที่สุดท้าย

ประเด็นคือ ผมดันลง บขส. ไง คนอื่นคงถึงปลายทางเร็วกว่าที่คิด แต่สำหรับผม ถึงช้าไปชั่วโมงกว่าๆ แม่เจ้า ดีนะที่ออกเร็ว ไม่งั่นคงแบบมาไม่ทันงานแน่ๆ

มันก็เป็นประสบการณ์นะครับ ผมไม่ได้รู้สึกแย่ ผมไม่ได้ถึงเลทอะไรมาก ดีซะอีกได้เที่ยวชัยภูมิจนทั่วจังหวัดเลย สนุกดี เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆ คราวหลังไม่เอาอีกแล้ว

และก็ขอเตือนคนอื่นๆ นะครับ ถ้าคิดจะไปหมอชิตโดยไม่มีตั๋ว ก็ให้ทำใจเรืาองนี้ไว้ด้วย

และทฤษฎีว่า ถึงเราไม่มีตั๋ว เราก็สามารถกลับได้มันเป็นเรื่องจริงครับ เวลาไปหมอชิตก็ทำหน้าตาน่าสงสารแค่นี้ก็พอ แบบทำหน้าตาให้เหมือนกับว่าเราหาตั๋วอยู่ เกินรีบๆ ทำท่าผิดหวัง หน้าเศร้าๆ อะไรแบบนั้น เดี๋ยวมีตั๋วมาประเคนถึงหน้าเอง เชื่อผม

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ day 15 ตอนนั้น

คนเราเนี่ยมันไม่มีอะไรจะเขียนมันก็ไม่มีอะไรจะเขียนจริงๆ นะครับ คือวันนี้ต้องรีบเขียนเพราะว่าคืนนี้ผมมีปาร์ตี้ และพรุ่งนี้ก็มีปาร์ตี้ สองวันนี้ผมคงต้องใช้เวลาช่วงกลางวันเนี่ยแหละมาเขียนบล็อก

ปกติการเขียนบล็อกของผมจะต้องออกไปเจอเรื่องอะไรบางอย่างมาก่อน แล้วมันถึงจะมาสกิดใจให้เขียนบล็อกได้ หรือไม่ก็นึกเรื่องที่จะเขียนไว้อยู่แล้ว ว่าจะเขียนเรื่องอะไร เช่นตอนที่มาของพี่เสือ ก๋วยเตี๋ยว และ frozen

คนเราจะมีวิธีหาแรงบันดาลใจ หรือคิดงานในที่ต่างๆ กัน หลายคนอาจจะมีปากกาไว้หัวนอน พอคิดได้ก็จด
บางคนอาจจะคิดได้ในห้องน้ำ คิดได้ก็จด จำ
บางคนคิดได้ตอนอยู่เงียบๆ คนเดียว

ส่วนผม ส่วนใหญ่หลายเรื่อง ผมจะมาตอนที่อยู่บนหลังมอเตอร์ไซต์คันโปรด เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นผมคิดบนหลังมอเตอร์ไซต์ ถ้าอัดเสียงได้อยากจะอัดเสียงความคิดของตัวเองแล้วมาลงบล็อกให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่มันทำไม่ได้ ผมใช้วิธีจำเอาซะส่วนมาก และที่มาลงบล็อกหรือที่มาทำเนี่ย ส่วนน้อย

บางทีถ้าเป็นความคิดที่รู้สึกว่าเจ๋งมากๆ ถึงขึ้นต้องหยุดรถ เอากระดาษมาจด หรือบางทีขี้เกียจก็อัดเสียง มันก็เพลินดีเหมือนกัน

วันนี้ยอมรับเลย ไม่มีอะไรเขียน เพราะว่ายังไม่ได้ออกไปไหน ยังไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซต์ ยังนึกไม่ออก เอบางทีหรือผมต้องออกไปแว้นซ์ซักแปปดี แล้วค่อยกลับมาดขียนใหม่

แต่พรุ่งนี้ ผมว่าผมมีเรื่องเขียนแล้วล่ะ จะเขียนเรื่องคนในงานปาร์ตี้คืนนี้ บุคคลเหล่านี้มีความหมายต่อชีวิตผมพอสมควร แต่ต้องขอไปดจอหน้าพูดคุยก่อน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ถ้าไม่แฮ้งเกินไป จะรีบมาปัานก่อนเดินทางไปงานต่อไปให้ได้

ตอนนี้ไม่ต้องอ่านก็ได้ รู้สึกว่าไร้สาระ(ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ คงเตือนไม่ทันแล้วซินะ 555)

เจอกันวันพรุ่งนี้ ตอนต่อไปครับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ day 14 ตอน พี่ท็อปจะเก็บเงิน

หลังจากที่เขียนบทความเรื่องการออมเงินของแม่กิ๊กไปเมื่อวาน ก็ไม่ผิดหวังครับ มีน้องคนหนึ่งชื่อเฟสขึ้นต้นด้วยตัว "S" ชื่อเล่นขึ้นด้วยตัว "B" อยู่มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งย่านบางเขน คณะที่มีหนุ่มเรียนมากที่สุดในมหาวิทยาลัย ตอนนี้ทำงานอยู่ประเทศที่มีประชากรเป็นอันดับ 2 ของโลก

คนที่รู้จักกับทั้งผมและเขาคนนั่นคงเดาออกตั้งแต่อักษรย่อตัวที่สองแล้วมั้งครับ 555 แต่นั่นไม่ใช่ประเก็น ประเด็นคือเค้ามาแชร์วิธีเก็บเงินของเค้า ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก และรู้สึกว่ามันตรงกับไลฟ์สไตล์ผมมากๆ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ไม่น่ายาว

การเก็บเงินของเค้าจะแบ่งเป็นหลายส่วนด้วยกัน คือ

1. ค่าใช้จ่ายรายเดือน อันนี้เค้าไม่ได้พูดถึงหรอก แต่ผมใส่มาเอง เพราะผมมีรายจ่ายรายเดือนที่ต้องรับผิดชอบตอนนี้ก็จะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเน็ต ค่าโทรศัพท์ ของผมก็ประมาณนี้ รวมๆแล้วประมาณ 2000 บาท

2. ค่ากิน ของน้องเค้าบอกว่ากินกันไว้ประมาณ 200 บาท ดังนั้นเดือนนึงก็ 6000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน  รวมทุกอย่างทั้งค่าแชมพู สบู่ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญน้องบอกว่าส่วนนี้ต้องจดบัญชีทุกวัน เพราะมีแนวโน้มสูงที่เราจะใช้เงินส่วนนี้เกิน ซึ่งถ้าเริ่มเกินเราก็จะได้ยั้งตัวทัน

แต่สำหรับผมคงแค่วันละ 100 บาทพอ เพราะอยู่บ้าน ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็มีไม่มากเพราะขี่มอเตอร์ไซต์ ดังนั้นส่วนนี้ของผมคงแค่ 3000 บาท

3. เงินเที่ยว อันนี้เป็นเรื่องใหม่พอสมควร ผมกับมันเป็นผู้ชายดังนั้นเรื่องเที่ยวจึงมาเป็นอันดับต้นๆ และถ้าเรากันไว้สำหรับส่วนนี้ เราจะได้ไม่เที่ยวเกินงบ ไม่ผลาญเงินส่วนอื่น ส่วนนี้น้องบอกว่า ตั้งไว้เป็นรายอาทิตย์ดีกว่า เพราะผมเที่ยวบ่อย ดังนั้น ก็ตั้งไว้อาทิตย์ละ 1000 บาท กำลังดี

ถ้าเหลือ ก็ทบไว้อาทิตย์ถัดไป และถ้าเหลือมากปลายเดือนก็เปรมเลยทีนี้ และถ้าเหลืออีกก็เอาเข้าส่วนเงินเก็บ

4. เงินเก็บ ส่วนนี้ควรจะกันไว้เลย เท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่คน สำหรับผมกะว่า ถ้ากันส่วนอื่นๆ แล้วผมก็จะได้จำนวนเงินเก็บที่เหมาะสม  และมั่นคงในแต่ละเดือน และส่วนนี้แหละที่ผมจะเอาไว้สำหรับเป้าหมายที่แต่ละคนตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม สำหรับผมปีหน้ามีเป้าหมายใหญ่มาก ดังนั้นส่วนนี้ผมต้องเน้นให้มากๆ

พอคุยจบ ผมก็ตัดสินใจทันทีว่าจะลองทำแบบนี้ซักปีนึก ว่าเวิร์คหรือเปล่า และผมจะมีวินัยทำได้จนครบปีหรือเปล่า ต้องมาลุ้นดู

และทุกคนที่ติดตามบล็อกผมมีวิธีการเก็บเงินอย่างไรบ้างครับ มาแชร์กันบ้างนะ จะในคอมเม้นหรือแชตมาหลังไมค์ก็ได้ ผมอย่ากรู้วิธีการออมเงินในแบบต่างๆ ของทุกคน เพื่อจะได้เอามาปรับใช้กับตัวเอง

ส่วนใครอยากให้ผมเขียนเรื่องอะไรก็ทิ้งคอมเม้นไว้ได้นะครับ และผมจะพยายามเขียนเรื่องที่ทุกคนต้องการ

เออ...จะว่าไปติดเรื่องโปสการ์ดของน้องหยินไป ไม่ต้องห่วงนะ พี่ไม่ลืมแน่นอน รอติดตามว่าจะเขียนให้วันไหน 555

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ Day 13 ตอน แม่กิ๊กสอนเรื่องเก็บเงิน

วันนี้เหรอ... มีเรื่องน่ายินดี เป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดในปีนี้เลยก็ว่าได้ ที่เกษตรสานได้มีลูกแล้ว

เกษตรสาน เป็นชมรมทำหนังสือในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นชมรมที่ผมผูกพันที่สุดในมหาลัยแล้ว และเพื่อนในชมรมที่ร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกัน ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ก็ยังสนิทกัน ไปกินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันจนถึงทุกวันนี้

และวันนี้เป็นวันดีที่ได้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมา ชื่อว่าน้องอะตอม จากแม่กิ๊ก เพื่อนสนิทในชมรม และพ่อโจ ที่เป็นพี่ในที่ทำงานของแม่กิ๊ก

ผมสนิทกับกิ๊กมาพอสมควร และวันนี้ผมก็ไปเยี่ยมน้องอะตอมและแม่กิ๊ก จริงๆ เราเจอกันบ่อย แต่โอกาสได้คุยกันสองคนแบบนี้มันน้อยมาก ปกติจะคุยในวง และวันนี้เราก็คุยกันหลายเรื่องมาก แต่มีอยู่เรื่องนึงของกิ๊กที่ผมอยากจะแชร์

กิ๊กเป็นคนที่เก็บเงินเก่งมาก ผมว่าเงินเดือนกิ๊กในตอนที่ผมเคยรู้ เป็นเงินเดือนที่ไม่ได้มากมายอะไรเลย ถ้าไปเทียบกับหลายคน ผมว่ามันน้อยด้วยซ้ำ โดยกิ๊กทำอาชีพเขียนบทความให้หนังสือ SMEs แห่งหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเคยอยู่นิตสารใหญ่อย่าง IN Megazine ในเครือแกรมมี่

กิ๊กคนที่เงินเดือนไม่เยอะ แต่เขาสามารถเก็บเงินด้วย วิธีการเก็บเงินของเขาง่ายมาก คือ

เก็บเงินเดือนละ 1000 บาทโดยไม่ถอนออก ตั้งแต่เดือนแรกที่ทำงาน

ครับ กิ๊กไม่เคยถอนเงินออกจริงๆ ทุกเดือนกิ๊กจะไปธนาคารแห่งหนึ่งที่ยูเนียนมอลล์ ผมจำชื่อธนาคารไม่ได้ แต่เป็นธนาคารต่างชาติที่ดังพอสมควร แต่หาที่ตั้งธนาคารยากมาก และสาเหตุที่กิ๊กเลือกฝากธนาคารนี้ก็เพราะมันหายากนั่นแหละ จะได้ถอนยาก จะได้ไม่ต้องถอน

เวลากิ๊กจะซื้อของใหญ่ๆ กิ๊กก็ไม่ได้เอาเงินเก็บมาใช้ กิ๊กจะใช้วิธียืมเงินแม่ และผ่อนแม่แทนทุกเดือน แต่เงินที่กิ๊กเก็บไว้ กิ๊กก็จะเอาไปให้เพื่อนหรือคนอื่นที่เดือดร้อนยืมแทน โคตรแปลก งง มั้ยครับ มันเป็นแบบนี้

สมมติกิ๊กกับเพื่อนจะซื้อไอโฟนพร้อมกัน กิ๊กจะทำแบบนี้คือ
กิ๊ก ยืมเงินแม่ แล้วผ่อนแม่
เพื่อน ยืมเงินกิ๊ก แล้วผ่อนกิ๊ก

เงินในบัญชีไม่หาย กิ๊กยังเอาเงินเข้าเดือนละ 1000 บาททุกเดือนเหมือนเดิม พร้อมๆ กับการผ่อนแม่ด้วย จะเห็นว่า เงินไม่ได้หายไปไหนเลยจากบัญชี กิ๊กจะไม่ยืมเงินตัวเอง เพราะมันจะทำให้คิดว่า ไม่ต้องคืนก็ได้ เงินกูเอง...

พอย้อนมาที่ตัวผมเอง ผมเป็นคนที่เก็บเงินโคตรจะไม่เก่ง พยายามแล้วนะ แต่แบบ พอมีเงินปุ๊ป ผมต้องเผลอใช้ทุกที

ผมไม่ฟุ่มเฟือยในชีวิตประจำวัน แต่ผมฟุ่มเฟือยเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องไร้สาระ กิเลสเยอะมาก ผมว่าหลายคนก็เป็น โดยไม่รู้เลยว่า ปีหน้าผมมีโปรเจ็คใหญ่ แต่ทำไมเงินเก็บช่างน้อยนิด จะไปได้ยังไง

เก็บเงินได้ทีไร ต้องเอาออกมาใช้ทุกที แต่หลังจากคุยกับกิ๊กวันนี้แล้ว ผมว่าผมจะลองแบบกิ๊กและ เก็บก่อนแล้วค่อยใช้ ถ้าอยากได้ของอะไร ก็เก็บเงินจากส่วนที่ไม่ได้เก็บอีกที ผมเอามั่งและ

และจากการเก็บเงินของกิ๊กในวันนี้ กิ๊กไม่มีปัญหาเรื่องเงินในการคลอดลูกเลย คิดดูเงินคลอดลูก รพ.เอกชน ราคา 40000 บาท อันนี้ยังไม่รวมรายจ่ายรายเดือนที่ไปหาหมอ ประกันสังคมออกให้แค่ 13000 ผมคิดเลยว่า ถ้าเป็นผม เจอแบบนี้ ผมคงตาย

แต่กิ๊กดูชิวๆ จริงๆอาจไม่ชิว แต่ผมว่าคนอย่างกิ๊ก เรื่องนี้สบายมาก

จะว่าไปก็อิจฉาเหมือนกันนะครับ...

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ Day 12 ตอน ความสุขเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่

ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้มีโปรเจ็คกับพี่สองคน คือพี่ตองและพี่ปุ้ม เป็นพี่ค่าย YWC สองคนที่ผมสนิททีเดียว และก็ชวนกันเปิดเว็บรีวิวหนังสือขึ้นมาเว็บหนึ่งชื่อว่า http://readraide.in.th/

เว็บนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เราก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือ จึงตกลงรับคำช่วยรีวิวหนังสือ เว็บนี้เพิ่งเปิดตัวไปไม่กี่วัน ผมก็เพิ่งรีวิวไปเพียงแค่เล่มเดียวเอง แต่ผลตอบรับเกินคาด

ผมไม่ได้คิดจะเอาบทความในนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจ็ค 99 วัน 99 บทความ นะครับ เพราะจุดประสงค์มันต่างกัน ถ้าผมเอามามันก็คงไม่ต่างกับการที่เอางานเขียนที่ต้องทำ มาขี้โกงยัดเข้าในโปรเจ็ค ผมว่ามันดูขี้โกงไปหน่อย

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ เมื่อผมรีวิวหนังสือที่ผมประทับใจมากเรื่อง Reading and Understanding People : อ่านและเข้าใจคนขั้นเทพ ปรากฎว่า มีน้องคนหนึ่งชื่อน้องกิ๊ฟ และพี่ตอง หนึ่งในแอดมินเว็บที่พออ่านจบ วันรุ่นขึ้นถึงขั้นไปซื้อมาไว้เชยชม

พี่ตองเนี่ย ผมไม่รู้ว่ามาจากการรีวิวของผมหรือเปล่า แต่ของน้องกิ๊ฟเนี่ย น้องออกตัวชัดเจนมาก ตั้งสเตตัสตอนกลางคืนว่า

รีวิวซะแบบต้องหาอ่านบ้างแล้ว

แค่นี้ผมก็ปลื้มมากแล้วนะ ที่มีฟีดแบ็คอย่างดีจากงานเขียนของเรา แต่มันยังไม่เท่าสเตตัสวันต่อมาของน้องที่ว่า

ชอปปิ้งอีกแล้ว #เอ๊ะ ที่se-ed เหลือ9เล่มเอง น่าอ่านสุดๆ
อยากอ่านเพราะเว็บนี้เลยค่า http://readraide.in.th/

ไม่รู้ซิ ในฐานะคนเขียนบทความ มีฟีดแบ็คขนาดนี้ อ่านแล้วกลับไปจัดมาทันทีแบบนี้ มันทำให้คนเขียนหัวใจพองโต ยิ้มไม่หยุดเลย มันปลื้มจริงๆ

คือเขียนงานมาทั้งปี มีคอมเม้นนี้แหละที่ทำให้ผมรู้สึกปลื้มแบบ โคตรปลื้ม บอกไม่ถูกอะ มันเหมือนได้เลื่อนตำแหน่งหรืออะไรแบบนั้นเลย

บางคนอาจจะบอกว่าผมเว้อ แต่มันเรื่องจริง มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมรู้สึกเลยว่า คนที่ทำงานเพื่อสังคม ทำงานโดยไม่ได้อะไรตอบแทน เค้าทนทำงานได้ยังไง ผมว่าเค้าอาจจะอยากได้แค่การยอมรับ ได้รับคำชมเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่ผมได้นี้ก็ได้

และหลังจากที่เห็นน้องมีฟีดแบ็คดีแบบนี้ ผมไม่รอช้า จัดการไปซื้อหนังสือมาอ่านอีกเล๋ม กะว่าจะอ่านให้จบและรีวิวให้เสร็จก่อนปีนี้ คำชมมันมีพลังจริงๆ

เหมือนบล็อกนี้แหละครับ ช่วงที่หายไปสองวัน พอรู้ว่ามีคนติดตามอ่านเราอยู่ หรือมีคอมเม้นใต้บทความ มันเป็นพลังให้ผมลุกขึ้นมาเขียนต่อจริงๆ นะ

ลองหาด้านดีๆ ชมคนใกล้ตัวซิครับ มันมีพลังจริงๆ นะ

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ day 11 ตอน เมืองลิเวอร์พูล

ถ้าให้เลือกอยากไปต่างประเทศอยากไปที่ไหน?

ถ้าใครสนิทกับผมพอสมควรอาจจะเดาได้ว่าผมอยากไปที่ไหน เพราะทุกครั้งที่โดนคำถามนี้ ไม่ว่าจากใคร หรือในช่วงเวลาใด ผมก็จะตอบได้ทันทีว่าจะไปอังกฤษ

และเหตุผมเดียวที่ทำให้ผมไปก็เพื่อไปดูบอล และเมืองเดียวที่อยู่ในความสนใจหนึ่งเดียวคือเมืองลิเวอร์พูล

และผมก็ศึกษาข้อมูล บ้าถึงขั้นทำรายงานไปส่งอาจารย์ตอนมัธยมที่เค้าสั่งว่า ทำรายงานเกี่ยวกับอะไรก็ได้ในวิชาสังคม และข้อมูลที่ได้ก็มาจากทั้งอินเตอร์เน็ต และก็หนังสือพิมพ์สตาร์ซอหเกอร์ ที่เค้าจะส่งผู้สื่อข่าวไปประเทศอังกฤษ

หลายคนบ่นว่า ทำไมนักข่าวเขียนแต่วิถีชีวิตตัวเองที่อังกฤษ แต่ผมกลับชอบที่เค้าเขียนวิถีชีวิตนะ มัยดูเป็นความฝันดี และผมก็นึกภาพตามว่าตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์อยู่เสมอ

เมืองลิเวอร์พูลมีอดีตที่รุ่งเรื่อง เพราะเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ในเกาะอังกฤษ เมื่อก่อนเป็นเมืองที่สำคัญมาก สินค้าส่วนใหญ่ต้องมาขึ้นที่ท่าเรือในเมืองลิเวอร์พูล แต่แล้ววันนึงก็โดนลดความสำคัญ จนวันนี้กลายเป็นเมืองเก่า ผู้คนส่วนใหญ่ก็มีฐานะไม่ค่อยดีนัก

เมืองลิเวอร์พูลมีวงดนตรีชื่อดัง ชื่อเดอะบีทเทิล เชื่อว่าทุกคนเคยได้ยิน

อาหารพื้นเมืองคือสเก้าส์ เท่าที่รู้มาจากคำบอกเล่า มันก็คล้ายๆ จับฉ่ายบ้านเรา แต่เป็นจับฉ่ายที่ใส่ผักแบบฝรั่งและใส่นมแพะ ก็อย่างว่า คนเมืองลิเวอร์พูลไม่ใช่คนที่มีฐานะอะไร ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นแรงงาน จึงมีอาหารแบบง่ายๆ จะให้ไปกินฟิชแอนขิพ อาหารประจำชาติอังกฤษก็คงจะไม่ไหว

ลิเวอร์พูลมีนกพื้นเมืองชื่อนกลิเวอร์เบิร์ด ที่คนไทยบอกว่าเป็นหงส์ ที่ชาวไทยเรียกตราสัญลักษณ์ของทีมลิเวอร์พูล

มีสวนสาธารณะใหญ่คือสแตนลีย์พาร์ค ที่คั่นระหว่างสองสโมสรใหญ่ในลิเวอร์พูลคือเอฟเวอร์ตัน

มีเท่านี้แหละครับลิเวอร์พูล เมืองไม่ใหญ่ สถาปัตยกรรมก็เก่าๆ แต่มันเป็นความฝันว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต พิชิตลิเวอร์พูล





วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ Day 10 ตอน 101 วัน 99 บทความ

ถ้าคนติดตามจะรู้ว่าบทความผมหายไปสองวัน ส่วนคนที่มาอ่านทีหลัง อาจจะ งง ว่า Day 8-9 หายไปไหน ผมจะไม่แก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น อยากจะให้ทุกคนจดจำการหายของผมไปสองวันนี้เป็นบทเรียนของคนที่จัดการเวลาไม่ดีมากกว่า

สองวันที่หายไปมาจากการที่

1. ไม่ยอมเผื่อเวลาว่าจะมีปาร์ตี้ต่อตอนเย็นวันศุกร์
ถ้าใครติดตามผมมาในบล็อกตอน ชายผู้มัธยัส คงจะรู้เลยว่า ช่วงนี้ผมเป็นคนที่ปาร์ตี้มากๆ เรียกว่าอาทิตย์นึงออกไม่ต่ำกว่า 2 วันเป็นเรื่องปกติ และผมก็ควรรู้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ เนื่องจากไม่มีแพลน ผมจึงแพลนว่าหลังจากทำธุระตอนบ่ายๆ เย็นๆ เสร็จ ดูหนังซักเรื่องนึง แล้วจะกลับมาเขียนบล็อกที่บ้าน ปรากฎว่า...

2. ปาร์ตี้เลยเถิด
เป็นปาร์ตี้ที่แบบ เลยเถิดจริงๆ ปกติวันศุกร์เราจะหาร้านซักที่นั่งกินชิวๆ คุยกันไป ผมก็จะมีเวลาจับ Note 8.0 เขียนได้เหมือนตอนบนรถทัวร์ แต่ปรากฎว่า พวกเราปาร์ตี้ยันเช้า คือเราไปรับน้องพิมที่พระราม2 หลังจากนั้นเราก็ตระเวนไปทั่วเลย แล้วไปจบที่สำเพ็ง เดินเล่นถึงตี 3 ผมกลับถึงบ้านตี4 กว่าๆ บ้าบอมาก เท่านั้นยังไม่พอ...

3. มีงานสอนตอน 9 โมงเช้า
ปกติวันนี้ช่วงเช้าผมจะชิวๆ สบายๆ เหมือนอาทิตย์ที่แล้ว ผมตื่นมาวันเสาร์ก็นั่งเขียนบล็อกไปอย่างสบายอารมณ์ แต่คราวนี้มันไม่อย่างนั้น อยู่ดีๆ ก็มีงานสอนแต่เช้ามา โดยที่ผมรู้อยู่แล้ว ทุกอย่างเลยดูเร่งรีบ เท่านั้นยังไม่พอ

4. ไปสอนต่อที่ชัยภูมิ
มันจะไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะการเขียนบล็อกบนรถผมก็เขียนมาแล้ว แต่ให้ทุกคนนึกสภาพคนที่กลับมาถึงบ้านตี4 ครึ่ง แล้วออกจากบ้านก่อน 8 โมงเช้า ทำงานถึงเที่ยงครึ่ง ขึ้นรถตอนบ่ายโมง ไม่ต้องห่วงครับ ทันทีที่ขึ้นรถได้ หัวถึงพนักพิง ผมก็หลับเป็นตาย รู้ตัวอีกทีก็หกโมงเย็น ถึงชัยภูมิพอดี แถม...

5. ถึงแล้วก็สอนต่ออีก
ครับ... พอถึงชัยภูมิผมก็สอนต่อเลยตอนหกโมงครึ่ง สอนเสร็จก็สองทุ่มครึ่ง ไม่ต้องห่วงครับ สอนเสร็จ กลับห้อง น้ำไม่อาบครับ หัวถึงหมอน ตายครับ การหลับบนรถทัวร์ไม่ได้ช่วยให้หายเพลียครับ มันกลับยิ่งให้เพลัยกว่าเดิม และพอตื่นมาวันอาทิตย์ ก็สอนทั้งวัน สอนเสร็จกินข้าวเย็น แล้วก็กลับ มาถึงบ้านก็เที่ยงคืนกว่า มาอัพบล็อกเนี่ยแหละครับ...

นั่นคือสาเหตุที่หายไปสองวัน ซึ่งโปรแกรมทั้งหมดนี้ มันเป็นโปรแกรมที่ผมรู้อยู่แล้วล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้น แต่ผมจัดการมันไม่ดีพอ มันจึงเกิดเรื่องแบบนี้

ผมคงโทษตัวผมเองที่ไม่สามารถรักษาสัญญากับตัวเองในเรื่องเล็กๆ แบบนี้ได้ การไม่เขียนบทความสองวันมันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย เสียแค่วันละ 99 บาท สองวันก็ 198 บาท บริจาคการกุศล มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ แต่การไม่เขียนบทความสองวันมันทำให้ผมคิดได้ว่า การจัดการกับชีวิตของผมมันแย่แค่ไหน

โปรแกรมทุกอย่างอยู่ในหัว แต่ขาดการปฏิบัติ
โปรแกรมอยู่ในหัว แต่บางอย่างเรายังละเลย
โปรแกรมในหัว แต่เราเลือกปฏิบัติ

บางทีผมว่ามันไม่ใช่โปรแกรมหรอกที่มันยุ่ง ตัวผมเองแหละที่มันยุ่ง

สำหรับบางคน การเล่น 99 วัน 99 บทความ คือการเขียนบทความต่อกัน 99 อัน แต่สำหรับผม

99 วัน 99 บทความ คือ สัญญา
99 วัน 99 บทความ คือ วินัย
99 วัน 99 บทความ คือ สิ่งที่ผมต้องทำ ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะทำ

สุดท้าย ผมเสียใจเหมือนกันนะครับที่ไม่ได้เขียนมาสองวัน แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น ระยาทางอีกยาวไกล สุดท้ายผมจะเขียนให้ได้จนครับ 99 บทความ แต่ตอนนี้คงจะไม่ใช่ 99 วันแล้ว คงต้องบวกเพิ่มอีก 2 วันเป็น


 101 วัน 99 บทความ

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ Day7 ตอน ก๋วยเตี๋ยว

ตอนนี้มีคนเสนอมาให้เขียนเรื่องก๋วยเตี๋ยว เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยคิดจะเขียนเลยด้วยซ้ำ แต่พอมีน้องอาร์ม น้องจากสาขาการสอนคณิตศาสตร์เสนอมา ก็เลยว่าจะเขียนเรื่องก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านซักหน่อย

ขอโทษด้วยนะครับ คือเขียนเรื่องร้านอาหาร แต่ไม่มีภาพประกอบซะอย่างนั้น 555

หลังจากน้องอาร์มแนะนำให้เขียน ผมก็พยายามไปหาก๋วยเตี๋ยวกินทุกที่ที่ได้ไป แต่ปรากฎว่า มันไม่มีที่ไหนที่จะถูกใจเลยซักนิด จนสุดท้ายวันนี้ก็ไม่มีที่ไป และสุดท้ายก็มาตายรังที่ก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย

บ้านผมอยู่ซอยสุขุมวิท68 ร้านก๋วยเตี๋ยวจะอยู่ฝั่งตรงข้ามซอย 68 อยู่ตรงตีนสะพานลอบพอดี ถ้ามาจากในเมือง เห็นสะพานลอยหลังจากผ่านแยกไปแดงอุดมสุขก็เตรียมจอดได้เลย ร้านจะเปิดตอนกลางคืน ปิดประมาณตีหนึ่ง ตีสอง

ร้านนี้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นที่ผมว่าอร่อยที่สุดที่ผมเคยกินมาเลย เนื้อนี่เค้าตุ้นเป็นวัน จะมีหม้อที่จุดไฟเพื่อต้มเนื้อตุ๋นไว้ตลอดเวลา น้ำซุปนี่ก็เคี่ยวอย่างดีมากๆ

แต่เรื่องน้ำซุป ผมยังไม่ชอบรสชาดมันเท่าไหร่ คือสุดท้ายก็ต้องปรุง ผมเคยลองกินแบบไม่ปรุงแล้ว ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้รสชาดดีจนทำให้ไม่ต้องปรุง อย่างน้อยก็เคยเจอร้านที่ทำน้ำซุปที่ไม่ต้องปรุงแล้วกัน

แต่ทีเด็ดมันอยู่ที่เนื้อตุ๋น เนื้อตุ๋นนี่ผมว่าเป็นเนื้อตุ๋นที่อร่อยที่สุดในกรุงเทพแล้ว สำหรับก๋วยเตี๋ยวข้างถนน อย่างที่บอก เค้าตุ๋นตลอดเวลา จนทำให้เนื้่อเปื่อยมากๆ เปื่อยจนแทบจะละลายในปากเลย (เว้อไป)

เมนูที่ผมจะสั่งประจำคือ เส้นเล็กเนื้อเปื่อย เส้นเล็กก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เหมือนร้านอื่นๆ ธรรมดา

ใครแวะผ่านไปผ่านมาก็ลองมาชินดูกันนะครับ วันนี้ยอมรับว่าไม่มีเรื่องเขียน เลยรีวิวไปงั้นๆ แหละ 555 มาเขียนก็ช้า แล้วดันบอกว่าไม่มีเรื่องเขียนอีก

จบบทความเท่านี้แล้วกันครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ Day6 ตอน ความประทับใจกับ Frozen รอบที่สอง

ปกติผมเป็นคนที่ดูหนังบ่อยมากๆ อาทิตย์ละ 2 เรื่องนี่เป็นเรื่องปกติเลย และผมชอบมากคือ การไปดูหนังวันพุธ และไปตั้งแต่ตอนเย็น และก็ดูสองเรื่องทีเดียว กว่าจะออกจากโรงหนังก็เกือบเที่ยงคืนประจำ ถ้าวันพุธไม่เห็นอยู่หน้าเฟสบุค ก็ให้รู้ไว้เลยว่า อยู่ที่โรงหนังนั่นแหละ

ถึงขนาดมีคนบอกว่า ถ้าผมหายตัวไป สถานที่ที่ควรไปตาม 2 แห่งคือ สนามฟุตบอลและโรงหนัง และโรงหนังที่ผมชอบไป และไปบ่อยที่สุดก็ที่ซีคอน สแควร์ เพราะมันใกล้บ้าน แถมหลัง 6 โมงเย็นวัน จันทร์ อังคาร ราคาตั๋วหนังยังลดราคาอีก ผมจึงอดใจที่จะไม่ไปดูไม่ได้

Before watching Frozen second time

และวันนี้สดๆ ร้อนๆ ผมก็ได้มีโอกาสไปดูเรื่อง Frozen รอบที่ 2 มา คือที่ผมไปดูเนี่ย ไม่ได้ติดใจหรือว่าเป็นหนังที่ดีและอยากไปดูอีกครั้งหรอกนะ แต่เพราะรอบแรกดูภาคไทย แล้วรู้สึกว่า ถ้าดูภาคฝรั่งมันจะดีกว่านี้ สิ่งที่ทำให้ผมกลับไปดูภาคฝรั่ง มีเหตุผล 2 อย่าง คือ

1. จะไปฟังเพลง คือ Frozen เป็นละครเพลง ซึ่งในภาคไทย เพลงก็เพราะมากอยู่แล้ว ซึ่งผมก็คิดไปว่า ถ้าดูภาคฝรั่ง เพลงน่าจะเพราะกว่านี้อีก

2. ผมยังไม่ค่อยอิน คือมีแต่คนบอกว่าหนังดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ผมไปดูภาคไทยมา ก็รู้สึกว่าเออ มันก็ดีนะ แต่ก็ไม่ได้เห็นว่ามันจะดีอะไรขนาดนั้น ไม่ได้ดีขนาดที่จะต้องมาอินนอกจอ ผมเลยรู้สึกว่า เออ ลองไปดูซาวแทร็คอีกซักรอบก็ได้ ก็ไม่ได้หวังจะอินอะไรมากมายหรอก แต่แค่อยากไปฟังเพลงเท่านั้นเอง

After watching Frozen second time

และหลังจากไปดูรอบที่สองมา ปรากฎว่า โคตรประทับใจอะ

1. แต่เพลงไม่ได้เพราะกว่าภาคภาษาไทยเท่าไหร่ ผมว่าประเทศไทยนี้เลือกคนมาร้องเพลงได้ดีมาก ทำให้ตอนดูผมก็อินกับเพลงนะ แล้วมาตั้งความหวังในภาคอังกฤษไว้เยอะว่าจะต้องดีกว่า แต่โดยส่วนตัว ผมว่าภาษาก็ไม่ได้รื่นหูกว่าภาษาไทย แถมคนร้องก็ร้องได้ดีพอๆ กับภาคภาษาไทย สรุป ผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้เจออะไรที่ดีกว่า แต่แค่นี้ก็ดีแล้วนะ ผมว่า คุณแก้มดันทำไว้ดีเกินหน้าเกินตาภาคซาวแทร็ค ต้องขอบคุณคนเขียนเพลงและนักร้องภาคภาษาไทยไว้ด้วยครับ

2. เรื่องนี้ผมอินมากตอนที่ไปดูภาคซาวแทร็ค แบบไม่คิดว่า การดูหนังรอบสองจะอินกว่ารอบแรก คนภาคภาษาอังกฤษสื่ออารมณ์ได้ดีกว่าภาคไทยพอสมควร โดยภาพรวมมันทำให้ผมอิน และสนุกกว่าดูภาคไทยเยอะเลยล่ะ

3. มุขตลก ในเรื่องเป็นหนังที่แทรกมุขตลกไว้พอสมควร แต่แปลก ตอนดูภาคไทยผมไม่หัวเราะเท่าไหร่ แต่พอดูซาวแทร็ค บางมุขที่เรารู้แล้ว พอได้น้ำเสียงคนพาก บวกท่าทางนางเอง ผมหัวเราะลั่นเลย นี่ขนาดฟังไม่รู้เรื่องนะ มันยังทำให้ผมอินหัวเราะได้ขนาดนี้ สุดยอดจริงๆ

สุดท้าย หลังจากดูมาทั้งสองรอบ

ผมว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีเลยล่ะ ดูรอบแรก ผมยังไม่แนะนำนะ แต่พอดูรอบสอง ผมเชียร์เลยว่า ควรจะต้องพาลูกพาหลานไปดู ถ้าลูกพอจะอ่านภาษาไทยได้คล่อง ผมแนะนำไปดูซาวแทร็คเถอะ แล้วจะทำให้ลูกคุณหัวเราะ และประทับใจ

หนังเรื่องนี้ผมว่าจะพาใครไปดูก็ได้ พ่อไปดูกับแม่หรือพาลูกไปด้วย หรือหนุ่มสาวที่เป็นแฟนกัน หรือจะเป็นพี่น้องไปดูด้วยกันก็ซึ้งไปอีกแบบ ผมว่า ไปดูเถอะ ก่อนที่มันจะออกจากโรง ช่วงนี้ผมยังไม่เห็นหนังที่น่าดูเท่าไหร่ ถ้าให้แนะนำก็เรื่องนี้แหละ

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ

Day 29 --- ความสุขระหว่างทาง
Day 28 --- ทฤษฎีน้ำร้อน น้ำเย็น กับการรักษาผิวหน้า
Day 27 --- ข้อดีของหนังพากษ์ไทย
Day 26 --- ออกกำลังกาย

Day 25 --- มาฟุ้งกัน
Day 24 --- ไม่บอกรัก แต่รักมาก
Day 23 --- โปสการ์ดบนยอดภูกระดึง
Day 22 --- เมื่อมีคนมาบอกว่าเคยแอบชอบ
Day 21 --- น้องโฟว์จอมตื้อ

Day 20 --- เบี้ยววันที่ 3 เพราะหนีไปเล่นกับเด็ก
Day 19 --- สวัสดีปีใหม่
Day 18 --- ปาร์ตี้ปีใหม่ที่สาม กับของขวัญราคา 30 บาท
Day 17 --- ของขวัญที่ไม่อยากแกะ
Day 16 --- รถตู้ชัยภูมิที่ไม่เคยมี

Day 15 --- ตอนนั้น
Day 14 --- พี่ท็อปจะเก็บเงิน
Day 13 --- แม่กิ๊กสอนเรื่องเก็บเงิน
Day 12 --- ความสุขเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่
Day 11 --- เมืองลิเวอร์พูล

Day 10 --- 101 วัน 99 บทความ
Day 09 --- เบี้ยวเป็นวันที่ 2 ติดกัน
Day 08 --- คนเขียนเบี้ยว
Day 07 --- ก๋วยเตี๋ยว
Day 06 --- ความประทับใจกับ Frozen รอบที่สอง

Day 5 --- ที่มาของพี่เสือและสโลแกนบนบล็อก
Day 1 --- Begin

99 วัน 99 บทความ Day5 ตอน ที่มาของพี่เสือและสโลแกนบนบล็อก

แบบก็ไม่ได้มั่นใจหรอกนะว่าจะมีคนอยากฟังเรื่องที่มาของชื่อเราหรือเปล่า แต่ถ้าตามบล็อกผม อย่างน้อยก็น่าจะทำความรู้จักกับตัวผมกันซักหน่อย ประจวบเหมาะกับวันนี้สามารถอัพบล็อกหน้าคอมได้ เลยสามารถใส่รูปได้สะดวกหน่อย เลยขอจัดเต็มที่บทความนี้แหละ แต่จะพยายามไม่ให้ยาวมากนะ

ว่าด้วยเรื่องสโลแกน


You'll Never Walk Alone 
เดินคนเดียวได้ไง มันเหงา (ก็เห็นเดินคนเดียวทุกวัน)

ถ้าคนที่รู้จักผมเป็นการส่วนตัว จะรู้ว่าผมเป็นคนบ้าบอลมาก และสโลแกนนี้ก็มาจากสโมสรฟุตบอลที่ฒเชียร์ คือทีมลิเวอร์พูล และเป็นเพลงประจำสโมสรที่เอาไว้ร้องปลุกใจเวลาลงแข่ง มักจะร้องตอนก่อนแข่ง แล้วหลังแข่ง บางทีก็จะร้องตอนพักครึ่งให้นักเตะฮึกเหิม



นั่นเป็นสโลแกนภาษาอังกฤษ ซึ่งคำแปลจริงๆ คือ
"  คุณจะไม่มีทางเดินเดียวดาย" 

ซึ่งเอาไว้บอกกับนักบอลว่า มรึงช่วยเล่นให้เต็มที่เหอะ เดี๋ยวกรูจะหนุนหลังพวกมรึงเอง

ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำแปลของผมเลยใช่ป่ะ 555
ที่มาของคำแปลมันมาจากช่วงหนึ่งตอนปี 2 มั้ง ที่เริ่มเล่นเฟสบุค และอารมณ์เหมือนแบบกำลังจีบสาวอยู่ แล้วก็นึกถึงสโลแกนนี้ขึ้นมา คือตอนนั้นจำได้ เพิ่งกลับมาจากค่ายของเกษตรสานกับวรรณศิลป์ทำร่วมกัน

โดยที่มาคือ เหมือนกับพูดคุยกับตัวเอง เหมือนกับว่า

You'll Never Walk Alone คุณไม่มีทางเดินเดียวดาย เพราะมันเดินคนเดียวไม่ได้ มันจะเหงา

มาต่อกันที่ชื่อ SUATOP และ Tiger Sky สืบเนื่องมาถึงชื่อเสือ

เรื่องชื่อเนี่ย ชื่อแรกเลยคือ SUATOP เป็นชื่อที่ผมคิดได้ตั้งแต่ตอน ม.2 ระหว่างนั่งเรียนอังกฤษอยู่ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าวิชามันน่าเบื่อ เลยเขียนชื่อตัวเองเล่นๆ

SUA มาจากนามสกุลเสืออากาศ ซึ่งเขียนภาษาอังกฤษได้เป็น Sua-Akas
TOP มาจากชื่อเล่นชื่อท็อป
มันเลยประจวบเหมาะพอดีได้มาเป็นชื่อเท่ๆ ว่า SUATOP

..........บทแทรก..........
ปกติเสือจะไม่ได้เขียน SUA หรอก แต่ตอน ป.4 ครูให้เขียนชื่อตัวเอง ทีแรกได้เป็น Suer, เราก็ไม่พอใจ เลยไปถามครูหน่อย เป็นครูภาษาอังกฤษคิดให้ใหม่ ครูก็เลยส่งมาว่าเป็น Suar ก็พอไหว

เราก็ยังไม่พอใจอีก เพราะมันเขียนแล้วดูยาวไป เลยเอาคำว่า Suaakas ไปเสนอ เพราะอยากได้สั้นๆ พอไปเสนอครูคงรำคาญ จึงบอกว่า เอาอันนี้ก็ได้ และเขียนให้ใหม่มาเป็น Sua-Akas เพิ่มขีดตรงกลางมาให้หน่อย

พอเห็นแล้วต้องพูดเลยว่า โคตรถูกใจ ชื่อคนมีขีดกลาง แม่งโคตรเท่ อย่างกับชื่อคนเกาหลี (ตอนนั้นเกาหลียังไม่ฟีเวอร์นะ แต่เราฟีเวอร์ล่วงหน้าไปก่อนเป็นสิบปีแล้ว 555 )
......................................

หลังจากนั้่นพอเล่นเฟสมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าคำว่า SUATOP มันสั้นไปหน่อย มันไม่เหมาะที่จะเอามาเป็นชื่อเฟสบุค จึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่เคยพอใจซักที จนวันนึง ระหว่างฝึกสอนตอนปี 5 มั้งถ้าจำไม่ผิด ระหว่างฟุ้งซ่านกับการเตรียมการสอน อยู่ดีๆ ชื่อ Tiger Sky ก็เด้งขึ้นมาในหัว

ตอนนั้นอุทานในใจเลยว่า "แม่เจ้า...นี่แหละคือสิ่งที่เราตามหามานาน"

Tiger มาจากคำว่า "เสือ"
Sky มาจากคำว่า "อากาศ" จริงๆ ต้องแปลว่าท้องฟ้า แต่ผมจะให้มันคืออากาศ

หลายคนก็ทักว่า
เห้ย... Tiger Sky มันคือเสือท้องฟ้าดิว่ะ ถ้าเสืออากาศต้อง Tiger Air

และทุกครั้งก็จะโดนผมตอกกลับไปว่า...
เออ...รู้แล้ว แต่ Tiger Air มันไม่เท่ คำว่า Tiger Sky มันเท่กว่า

มันคือเหตุผลเดียวกับตอนที่ตั้งชื่อ Sua-Akas นั่นแหละครับ เหตุผลเดียวคือความเท่ล้วนๆ 555

เรื่องโลโก้ SUATOP

อาจไม่มีใครรู้ว่าชื่อผมนั้นมีโลโก้ด้วย เป็นโลโก้ที่คิดขึ้นเองตอน ม.2 และอยากใช้มาก แต่ไม่สามารถวาดให้สวดได้ โลโก้ก็ประมาณนี้ (โปรดจินตนาการในแบบที่มันสวยๆ เอาเอง)


เป็นโลโก้รุ่นแรกสุด ข้างในเป็นชื่อ SUATOP
ข้างบนเป็นชื่อตัวเองที่เขียนว่า Peerapat Sua-Akas
ตรงกลางบนหัวเป็นรูปลูกข่าง ที่แปลมาจากคำว่า TOP = ลูกข่าง

นี่แหละ ง่ายๆ เป็นโลโก้ของเด็ก ม.2 ที่ตกวิชาศิลปะคิดค้นขึ้นมา ไม่มีอะไรซับซ้อน

และโลโก้ล่าสุด
โลโก้นี้ก็เกิดหลังจากที่คิดสโลแกน You'll Never Walk Alone เดินคนเดียวได้ไง มันเหงา มาประมาณปีนึง แล้วอยู่ดีๆ ก็คิดว่า เราน่าจะมีโลโก้เป็นของตัวเองนะ เลยค้นรูปจากอินเตอร์เน็ต เพราะอยากได้รู้เสือ ก็เลยได้เป็นโลโก้กากๆ แบบนี้ออกมา


ผมว่าโลโก้อันนี้สวยทีเดียว แต่ก็ยังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ เพราะเสือในรูป ก็เอามาจากเว็บไซต์ซักที่นึง จำไม่ได้แล้วว่าเอามาจากที่ไหน เพราะนานมากๆ แล้ว
___________________________________

ยาวหน่อยวันนี้ ได้เขียนเรื่องตัวเอง หลังจากนี้คงไม่มีคำถามสำหรับชื่อและสโลแกนในบล็อกอีกแล้วนะครับ บทความนี้ได้ไขข้อกระจ่างไปหมดแล้วหลังไมค์

ส่วนใครมีข้อสงสัยอะไร หรืออยากให้ผมเขียนเรื่องอะไร ก็ลองบอกมาได้ เผื่อวันไหนไม่มีเรื่องเขียน 555 ส่วนผมจะเขียนได้หรือไม่ได้ อีกรเรื่องนึงนะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามบทความ อาจจะไร้สาระบ้าง น่าเบื่อบ้าง ก็บอกกันได้นะ จะได้ปรับปรุงต่อไป จบ 99 บทความแล้วเมื่อไหร่ ใครที่มาคอมเม้นทุกวัน เดี๋ยวจะพาไปเลี้ยงอะไรซักอย่าง(ยังไม่บอกดูงบตอนนั้นก่อน) แล้วเจอกันต่อในวันพรุ่งนี้ครับ

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ day4 ตอน tiger sky ชายผู้มัธยัท?

เหตุเกิดจากวันนี้ได้มีโอกาสคุยกับน้องคนนึง อยู่ดีๆ น้องก็ถามเรื่องกระเป๋า ที่แต่ละวันไม่ค่อยจะสะพายมาเหมือนกันเลย ก็เลยเล่าที่มาของกระเป๋าแต่ละใบ

ผมปกติจะมีกรเป๋วหนังอยู่ 4 ใบ ขนาดเล็ก ใส่ note 8.0 ได้พอดี, ขนาดกลาง จะใส่หนังสือเรียนได้พอดี และขนาดใหญ่ ที่จะสามารถยัดทุกอย่างได้

นอกจากนั้นยังมีเป้อีกสามใบ ใบใหญ่สำหรับใส่เดินทางท่องเที่ยว อีกใบเล็กมาหน่อย เอาไว้ใส่หนังสือ และใบล่าสุดยี่ห้อ daekine ที่เค้าบอกว่ารับประกันตลอดอายุการใช้งาน เพิ่งได้มาไม่ถึงปี ใช้ทุกอย่างทั้งไปทริปเล็กๆ รวมถึงใส่ของไปนู่นไปนี่

หลังจากนั้นก็เล่าถึงเสื้อผ้า รองเท้า กางเกง ที่จะใส่มาซ้ำๆ บ่อยๆ ที่จริงมีหลายตัว แต่ตัวที่ชอบมันมีไม่มาก

ประเด็นของหัวข้อสนทนาไปจบตรงที่ ทุกอย่างบนตัวผม ยกเว้นเสื้อ จะเป็นน้องกับแม่จัดการให้ทั้งหมด

น้องคนนั้นจึงบอกว่า เออ พี่เป็นคนมัธยัทเนอะ ไม่ค่อยซื้อของอะไรเลย เสื้อกางเกงก็รอให้เก่าค่อยเปลี่ยน

ผมสวนขึ้นทันควัน พร้อมหัวเราะในลำคอว่า "หึหึ"

มัธยัทเหรอ?
รู้จักพี่น้อยไปซะแล้ว

คือคนที่บอกว่าผมมัธยัทเนี่ย แสดงว่าคงไม่ได้เจอผมมานานเกินไป จึงพูดแบบนี้ ถ้ามารู้จักผมปีนี้จะรู้ว่า ผมโคตรฟุ่มเฟือยมาก

เที่ยวกลางคืน กินเหล้า แทงพูล อาทิตละไม่ต่ำกว่าสองวัน
เตะบอลอาทิตละวัน ต้องซื้อรองเม้าอีก คู่ถูกๆก็ไม่เอา ไม่เท่
ซื้อจักรยาน ปีนี้ก็จัดไปสองคัน แถมมีแต่งนู่นแต่งนี่อีก
เที่ยว ปีที่แล้วก็จัดไปสี่รอบ
เปลี่ยนโทรศัพท์

พอเล่าทั้งหมดให้ฟัง น้องถึงกับถอนคำพูด และพอผมพูดจบ ผมก็มาพิจารณาตัวว่า เออ เราฟุ่มเฟือยว่ะ

และก็อยู่ดีๆ ก็นิยามตัวเองขึ้นมาว่า 

"ผู้ชายหรรสา" ผู้ที่รักการท่องเที่ยวและปาร์ตี้ตลอดเวลา

รู้สึกดีนะ ปีก่อนๆ ก็ไม่เคยรู้สึกปลดปล่อยตัวเองเท่านี้ จนเหมือนมาปลดแอกตอนที่ได้ไปเมี่ยวกับพวก ywc outing นั่นแหละ เลยรู้สึกว่าตัวเองถูกปลดปล่อยจากอะไรบางอย่าง และรู้เลยว่า

"นี่แหละคือชีวิตที่ต้องการ"

ไม่รู้ว่าปีหน้าหรือปีต่อๆ ไปจะต้องการแบบนี้มั้ย อาจจะเบื่อก็ได้ แต่ไม่เป็นไรหรอกตอนนี้ต้องการแบบนี้ ก็ใช้ชีวิตแบบนี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ใช้

ฟุ้งมาเยอะ จบตรงนี้แล้วกัน...

____________________________



วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ day 3 ตอน บนรถทัวร์

วันนี้บอกตรงๆว่า ยุ่งทั้งวัน ทำงานต่างจังหวัดเสร็จก็ต้องนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพ นี่ก็ปาเข้าไปทุ่มนึงแล้ว เพิ่งมีเวลามาเขียน จริงๆ อย่าเรียกว่ามีเวลาเลย ตอนที่เขียนนี้ก็นั่งอยู่บนรถเนี่ยแหละ เลยขอแชร์ประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีที่หมอชิตซักหน่อย

ช่วงหลายเดือนมานี้ผมต้องมีธุระที่หมอชิตบ่อยมากๆ เรียกว่าตอนนี้รถทัวร์เป็นบ้านหลังที่สองไปแล้ว หลายเดือนที่ผ่านมานี้ ไปหมอชิตทุกๆ สัปดาห์โดยไม่ได้พักเลย

ประสบการณ์แรก ถ้าจะซื้อตั๋วหน้างานเพราะคำเชิญชวน กรุณาดูให้ดี

ที่หมอชิต จะมีคนประเภทหนึ่งคือ จะคอยถามว่าเราจะไปไหน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวหน้าตาโง่ๆ อย่างผมด้วยแล้วเนี่ย เป็นเป้าหมายชั้นดีสำหรับพวกเขาเลย
ทริกก็ง่ายๆ จะเริ่มจากถามว่า ไปไหนครับ

พอเราบอกจุดหมายเค้าก็จะพาไปช่องขายตั๋วตามจังหวัดที่เราไป ทริกที่เจอบ่อยคือ จะบอกว่า รถออกเลยครับ (ไม่ได้ไปจังหวัดเลยนะ ไม่ต้องเล่นมุข) แล้วเราก็หลงเชื่อ ซึ่งถ้าโชคดี รถได้เวลาออกพอดีก็ดีไป แต่บางครั่งบอกรถออกเลย เค้าไม่ได้บอกว่าออกกี่โมง อาจจะออกเลยในอีก 2 ชม. ก็ได้ โดยเฉพาะรถ ป.2 #เคยเจอ

รถ ป.2 เป็นรถที่วิ่งแล้วแวะตลอดทาง ไม่เหมือนรถ ป.1 หรือรถตระกูล ม. ที่จะวิ่งรวดเดียวถึงจุดหมายโดยอาจจะแวะพักรถแค่จุดเดียว หรือถ้าไม่ไกลมากก็จะไม่แวะเลย

ประสบการณ์ที่สอง รถเจ้าใหญ่ไม่ใช่เจ้าที่ดีที่สุด

ประสบการณ์นี้เจอกับตัว ผมมีธุระต้องไปชัยภูมิทุกอาทิตย์ และจากเหตุการณ์แรก ทำให้ผมได้ลองนั่งรถหลายเจ้ามาก แต่จะมีเจ้าใหญ่อยู่เจ้านึงที่ออกทุก ชม. สภาพรถก็โอเค สมราคา 275 บาท บริการก็ดีทีเดียว มีแวะพัก แต่ไม่จอดกลางทางส่งตามใจลูกค้า ถือว่าเป็นเจ้าใหญ่สุดในนี้เลยก็ได้

แต่เดี๋ยวก่อน พอนั่งไปซักระยะ ผมก็ไปเจอรถบัสที่เรียกว่าเป็น rare item หรือบริษัทที่ถูกลืม ที่นั่งโอเคมาก เป็นรถ ม.4(ถ้าจำไม่ผิดนะ) แต่ละแถวมี 3 ที่นั่ง มีจอทีวี มีหูฟังส่วนตัว แบบวินาทีที่เจอสายนี้ต้องอุทานมาว่า

"แม่เจ้า กรูไปโง่นั่งอะไรมาตั้งนาน"
แบบ ด้วยราคา 275 เท่ากัน แต่บริการนี่ไม่เท่ากันเลย นี่แหละที่บอกว่า รถเจ้าใหญ่ไม่เจ้าที่ดีที่สุด หาแรร์ไปชอเท็มให้เจอ โดยเฉพาะพวกที่เดินทางบ่อยๆ

ทริกการหาก็คือ ที่เค้าเตอร์หมอชิต แต่ละจังหวัดจะมีรถไปต่างจังหวัด จังหวัดละหลายเจ้า ถ้าเดินทางบ่อยก็ลองมันให้ครบ แล้วจะพบไอเท็มลับซ่อนอยู่

ประสบการณ์ที่สาม ถามประเภทรถก่อนซื้อตั๋ว

อันนี้สืบเนื่องจากประสบการณ์สองอันที่ผ่านมา จึงอยากให้รับรู้ว่า รถทัวร์มีหลายประเภท ทั้งแบบดี และไม่ดี

รถประเภท ป.
เป็นรถปรับอากาศธรรมดา ถ้าอยากได้บริการด้วยก็ไป ป.1 หรือถ้าอยากไปถูกๆ ก็ไป ป.2 หรือ ป. เยอะๆ กว่านี้

อีกประเภทเป็นประเภท ม. ผมจากที่นั่งมายังไม่เห็นข้อแตกต่างจาก ป. เท่าไหร่ใน ม. ต่ำๆ แต่ที่นั่ง ม. สูงๆ ถือว่ามีอะไรที่พิเศษกว่าพวก ม. ต่ำๆ หรือ ป. เยอะทีเดียว หนึ่งในนั้นคือทีวีส่วนตัว
อื่นๆ

รถ vip, silver class, gold class
น่าจะถือว่าเป็นรถที่โอเคมากๆ vip อาจจะได้ฟิลเหมือนรถ ป. สาวนรถระดับ gold class จะให้อารมณ์เหมือนรถ ม. แต่ได้อารมณ์กว่า เหมือนกับนั่งเครื่องบินชั้น bussiness ยังไงอย่างนั้น (ผมไม่เคยนั่งเครื่องบินหรอก แค่จินตนาการ)

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

99 วัน 99 บทความ Day2 ตอน ฟุ้งๆ ก่อนเดินทาง

การเขียนบทความได้ซักเรื่อง บางทีมันก็ต้องมีอารมณ์เหมือนกัน ความคิดต้องตกผลึกพอ มีคำกล่าวหนึ่งที่ผมจำได้แม่นจากการได้ไปเวิร์คช็อบกับพี่ก้อง อะเดย์ ว่าการเขียนให้ดีนั้น

ต้องรู้ให้เยอะ เขียนให้น้อย

ผมจำประโยคเปะๆ ไม่ได้หรอก แต่ความหมายของมันคือ การที่เราจะถ่ายทอดเรื่องราวให้ดีนั้น เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้ให้เยอะเสียก่อน ความคิดต้องตกผลึกเสียก่อน งานของเรามันถึงจะออกมาถูกใจ

ผมมีอาชีพสอนหนังสือ ประโยคเด็ดนี้ก็สอนผม ทำให้ผมปฏิบัติตามเสมอมา ตั้งแต่ตอนเรียนที่เกษตรแล้ว ผมเอกคณิตศาสตร์ ดังนั้นผมจึงเรียนคณิตศาสตร์เยอะมาก และก็มีครูท่านหนึ่งเคยบอกว่า (ขอโทษครับที่ผมจำไม่ได้ว่าใครพูด แต่เป็นครูท่านหนึ่งในสาขาการสอนคณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน)

เราต้องเรียนให้เยอะ เพราะถ้าเรารู้เท่าเด็ก 
เราจะไปสอนเด็กได้อย่างไร

หลังจากประโยคเด็ดนี้ได้ลั่นออกมา จากนั้นทำให้ผมไม่เคยตั้งคำถามกับการเรียนคณิตศาสตร์อีกเลย เพราะผมรู้ว่าผมเรียนไปทำไม เมื่อเจอวิชายากๆ ประโยคนี้ก็จะผ่านเข้ามาในหัวผมเสมอถึงแม้ว่าสุดท้ายผมจะจบไม่สวยก็ตาม 555

และการสอนเด็กทุกวันนี้ ผมจะต้องมีความรู้มากกว่าเด็กเป็นเท่าตัว การเป็นครู ในเรื่องที่เราสอน เราต้องแตกฉาน เห็นอะไรก็ตอบได้ ถ้าตอบไม่ได้ก็ต้องรู้ว่าจะไปหาคำตอบมาจากที่ไหน

จริงๆ ที่เขียนบทความนี้มีจุดประสงค์แค่จะบ่น จากเดิมผมจะเขียนเรื่องภูกระดึงที่เพิ่งไปมา (เดี๋ยวคงได้เขียนแน่ๆ) และก็อยากเขียนเรื่องเพื่อน ที่ผมมีหลายกลุ่มหลายก้อนเหลือเกิน

และพอได้เริ่มเขียน แล้วกลับมาอ่านแล้วรู้สึกว่า มันยังไม่ใช่ และมันยังไม่สามารถที่จะเขียนให้มันจบได้จริงๆ คือมันยังไม่โดนในแบบที่เราอยากให้เป็น มันทำให้รู้เลยว่า การจะเขียนได้ ความคิดต้องตกผลึกเสียก่อน คือไม่ใช่การฝืนเขียน และวันนี้ผมฝืนเขียนมันเลยทำให้ไม่ค่อยดี

จริงๆ วันนี้รีบมาก ต้องไปต่างจังหวัด และมันน่าจะไม่สามารถทำให้ผมสะดวกมาเขียนงานได้ตามสัญญา จึงรีบเขียนไว้ก่อน เดี๋ยวไม่มีเวลา

สุดท้ายขอฝากประโยคเด็ดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เคยกล่าวไว้ว่า

ถ้าเราไม่สามารถอธิบายเรื่องยากๆ ให้ออกมาดูง่ายๆ ได้ 
แสดงว่าเรายังไม่รู้จริง

____________________________________
ฟุ้งซะเยอะวันนี้ จริงๆ แล้วไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะจะต้องเดินทาง เจอกันใหม่วันพรุ่งนี้ครับ

ปล. รู้สึกกดดันยังไงไม่รู้ เมื่อมีคอมเม้นว่ารออ่าน รอติดตาม 555 ไม่เคยมีคนมาโพสแบบนี้มาก่อน เปิดบล็อกมาตั้งหลายปี

99 วัน 99 บทความ ตอนที่ 1 เรื่อง Begin

จุดเริ่มต้นของ 99 วัน 99 บทความ นั้นผมได้แรงบันดาลใจมาจากพี่ท่านหนึง ผมก็จำไม่ได้ว่าพี่ชื่ออะไร แต่ผมรู้จักจากเฟสบุคที่ชื่อ Worawut Saibua ซึ่งเป็นเจ้านายของป้อ เพื่อนรักคนหนึ่งของผม แห่งค่าย Young Webmaster Camp รุ่น 11

วันดีคืนดี ผมก็เห็นพี่เค้าโพสรูปขึ้นมา พร้อมคำสัตย์ปฏิญาณว่า จะโพสบทความวันละ 1 บทความเป็นจำนวน 99 วัน 99 บทความติดต่อกัน เรื่องอะไรก็ได้ แถมมีคำท้าทายว่า

"ใครสนใจจะท้าทายความสามารถและวินัยในตัวเอง ติดต่อหลังไมค์มาได้นะครับ"

ด้วยความที่ผมเติมโตมาในสายการเขียนบทความ เมื่อเจอคำท้าทายนี้ผมจึงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ต้องติดต่อพี่เค้าไปหลังไมค์ พี่เค้าก็คงจะ งงๆ ว่าเจ้านี่เป็นใคร รู้จักเราได้ยังไง ว่าแล้วผมก็ไม่แนะนำตัวอะไร ถามไปดื้อๆ เลยว่า

ผม : เล่นด้วยซิครับ เกมส์เขียนบล็อก เริ่มเมื่อไหร่ครับ
พี่ : ศุกร์นี้ครับ

ซึ่งศุกร์นี้ ก็คือวันนี้นี่เอง และนี่ก็ขอเป็นการเริ่มต้นบทความสั้นๆ ด้วยชื่อตอนว่า Begin คือการเริ่มต้นเขียนบทความ 99 ตอนนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ

ปล. ต้องขอโทษพี่  Worawut Saibua ด้วยนะครับ ที่ไม่ได้แนะนำตัว อยู่ดีๆ ก็ทักไปดื้อๆ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเลย พี่คงตกใจ ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ

ภาพจาก  Worawut Saibua
ภาพนี้ขอให้เป็นภาพแทนคำสัญญาว่า นับจากนี้ไปอีก 99 วัน ผมจะต้องเขียนบทความมาลงทุกวันให้ได้ เริ่ม...!!!

ปล.สุดท้าย ผมชื่อท็อป หรือในวงการจะเรียกว่าพี่เสือ จะเรียกเสือหรือเรียกท็อป ผมก็ไม่ถือสาอะไร มีอะไรก็ทักทายกันได้นะครับ...