วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

จะเป็นอย่างไร เมื่อแชมป์ฟุตบอลโลกใช้หลักคิดแบบเดียวกับสมาคมมวยโลก

ใกล้เข้ามาแล้วกับมหกรรมฟุตบอลโลก 2014 ที่จะเริ่มขึ้นที่บราซิล ซึ่งนั่นเป็นฟุตบอลโลกอย่างเป็นทางการที่ 4 ปีจะมีซักหนึ่งครั้ง แต่วันนี้ผมขอแหวกกระแสบ้างว่า ถ้าเราไม่หาแชมป์โลกทุก 4 ปี แต่เราหาแชมป์โลกได้ทุกปี ได้ทุกเดือน หรือถ้าจะขยันก็เปลี่ยนมือไปทุกวันก็ได้เอา

บทความนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ เราจะมาหาแชมป์ฟุตบอลโลกโดยใช้หลักคิดเดียวกับสมาคมมวยโลก หลักการง่ายๆ ก็คือ ใครเป็นแชมป์ ก็ต้องหาคนมาชิงแชมป์ ถ้าสามารถชนะแชมป์ได้คุณก็เป็นแชมป์แทน อะไรแบบนั้น

ให้นึกภาพเขาทราย แกแล็กซี่ครับ ที่ป้องกันแชมป์นับสิบครั้ง ซึ่งก่อนที่เขาทรายจะมาเป็นแชมป์ เขาก็ต้องล้มแชมป์เก่าก่อน ซึ่งเราจะนำหลักการนี้มาใช้กับฟุตบอล อยากรู้หรือเปล่าครับว่าจะเป็นยังไง แล้วใครจะเป็นแชมป์... มาชมกันเลยครับ

ถ้วยซ้ายเป็นถ้วย UFWC (จริงจังโคตรๆ) ถ้วยขวาเป็นถ้วยฟุตบอลโลกจริง

จุดเริ่มต้น
เกิดจากแฟนบอลชาวสก็อตแลนด์คนหนึ่ง ที่วันหนึ่งทีมชาติสก็อตแลนด์สามารถชนะทีมชาติอังกฤษได้เป็นทีมแรกหลังจากที่อังกฤษคว้าแชมป์โลกได้ในปี 1966 เขาจึงโมเมว่า นี่ไง เราชนะแชมป์ ดังนั้นเราก็ต้องเป็นแชมป์ต่อไป ใครอยากได้แชมป์ต้องมาล้มเรานะ (คำพูดมีการเสริมเติมแต่งโดยผู้เขียนเอง แต่จุดเริ่มต้นนั้นเรื่องจริง)

และเรื่องนี้ก็ไปถึงหู Paul Brown ที่เป็นนักเขียนอิสระ ซึ่งไปเขียนลงนิตยสาร FourFourTwo ในปี 2011 ซึ่งเขาก็ต้องไปค้นคว้ามาตั้งแต่ว่าฟุตบอลนัดแรกอย่างเป็นทางการนั้นเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แล้วหลังจากนี้จะเป็นเส้นทางแชมป์โลกของ UFWC (Unofficial Football World Cup)

กฎกติกาของ UFWC
ถึงจะเป็นสถาบันเล่นๆ แต่ก็ต้องมีกฎกันหน่อย

.....1. ผู้ที่เป็นแชมป์ทีมแรกได้แก่ทีมชาติอังกฤษ ในนัดที่สองอย่างเป็นทางการ(นัดแรกเสมอกัน) ที่อังกฤษเอาชนะสก็อตแลนด์ไป 4-2

.....2. ทีมที่จะเป็นแชมป์โลก UFWC จะต้องเป็นทีมที่ล้มแชมป์โลกทีมเก่าได้เท่านั้น
..........2.1 ถ้าผลจบลงด้วยการเสมอ แชมป์โลกจะยังเป็นทีมเดิม

.....3. UFWC จะคิดผลในช่วงต่อเวลาหรือดวลจุดโทษด้วย ในกรณีที่เป็นบอลทัวนาเม้นที่ต้องมีการต่อเวลาหรือดวลจุดโทษตัดสินเพื่อหาคนเข้ารอบ
.........3.1 เราจะไม่นับการต่อเวลาหรือดวลจุดโทษในกรณีที่ต้องมีการเตะบอลเหย้า-เยือน เพื่อหาคนเข้ารอบ เพราะการต่อเวลาหรือดวลจุดโทษในฟุตบอลแบบนี้มันจะเกี่ยวเนื่องกับกฎประตูทีมเยือนด้วย ดังนั้นเราจะคิดผลแค่ใน 90 นาที

เส้นทางแชมป์เปี้ยน




ในตอนเริ่มแรก ฟุตบอลยังเตะกันอยู่ในเกาะอังกฤษ ดังนั้นในช่วงแรก ทีมที่วนเวียนเป็นแชมป์ก็จะมีอยู่แค่ทีมชาติอังกฤษ, สก็อตแลนด์, เวลและไอร์แลนด์

โดยทีมแรกที่เป็นแชมป์เกิดขึ้นในนัดที่สองอย่างเป็นทางการระหว่างอังกฤษกับสก็อตแลนด์ ซึ่งนัดแรกเสมอกัน 0-0 และนัดฉลองแชมป์แรกเกิดขึ้นที่สนามเคนนิงตันทาวน์ โอวัล ในวันที่ 8 มีนาคม 1873

และถึงแม้จะมีฟุตบอลโลกในปี 1930, 1934 และ 1938 แต่ที่เป็นแชมป์ขณะนั้นไม่ได้เข้าร่วม ทำให้แชมป์ก็ยังไม่ได้ออกไปไหนไกล จนกระทั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2

ปี 1931 แชมป์ออกไปนอกเกาะอังกฤษครั้งแรก
ทีมชาติออสเตรีย เป็นทีมแรกที่นำแชมป์ออกไปจากเกาะอังกฤษได้สำเร็จ แต่ก็เป็นแชมป์ได้เพียงสี่เดือนก็กลับมาอยู่บนเกาะอังกฤษอีกครั้ง แต่หลังยุค 1940s แชมป์ก็ได้วนเวียนไปทั่วยุโรปมากขึ้น จนกระทั้งก่อนเริ่มฟุตบอลโลกปี 1950 แชมป์ก็กลับมาอยู่ที่ทีมชาติอังกฤษ เป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกที่ทีมแชมป์โลก UFWC ได้เข้าร่วมมหกรรมลูกหนังระดับโลก

หลังจากที่ทีมแชมป์ UFWC เข้าร่วมฟุตบอลโลกครั้งแรก แชมป์ก็มีการกระจายทวีปมากขึ้นไปทั้งอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และก็ยุโรป วนเวียนอยู่ในสามทวีปนี้

2004 แชมป์แรกของทวีปแอฟริกา
เป็นการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างไอร์แลนด์กับไนจีเรีย ซึ่งนัดนั้นไนจีเรียสามารถคว้าชัยเหนือไอร์แลนด์ไปได้ จึงเป็นทีมแรกที่นำแชมป์มาสู่ทวีปแอฟริกา ซึ่งตลอดปี 2004-2005 แชมป์ก็เปลี่ยนมือแต่ยังวนเวียนอยู่ในทวีปนี้ตลอด จนกระทั่งไนจีเรียมาพลาดท่าพ่ายแพ้ต่อโรมาเนีย ซึ่งไม่นานโรมาเนียก็มาพ่ายต่ออุรุกวัย

2010 แชมป์วนเวียนมาทวีปเอเชีย




จริงๆ ก่อนหน้านั้นแชมป์เคยมาทวีปเอเชียแล้วครั้งหนึ่ง แต่อยู่ได้ไม่นานก็ต้องเสียแชมป์ไป แต่ในปี 2010 ถึงปี 2013 เรียกว่าทีมจากเอเชียร์ครองความยิ่งใหญ่ในถ้วย UFWC แต่เพียงทวีปเดียว(เว้อซะ 555 )

หลังจากที่อาเจนตินาคว้าชัยเหนือสเปนไปได้ 4-1 หลังจากนั้นแชมป์ก็ไม่เข้าไปยุโรปพักใหญ่ๆ และหลังจากนั้นอีกไม่นานเมื่อเดือนตุลาคมปี 2010 การป้องกันแชมป์ครั้งแรกของอาเจนติน่าก็ไม่เกิดขึ้น เมื่อมาพลาดท่าพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่นแบบพลิกความคาดหมายไป 1-0 ญี่ปุ่นจึงเป็นทีมแรกทีมคว้าแชมป์โลกของ UFWC มาได้สำเร็จ และเป็นทีมแรกของเอเชียอีกด้วย

แถมยังนำตำแหน่งแชมป์โลกเข้าไปชิงชัยในฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียอีกต่างหาก แล้วก็ไม่มีใครสามารถล้มญี่ปุ่นได้จนสามารถคว้าแชมป์เอเชียได้เป็นผลสำเร็จ เป็นหนึ่งในไม่กี่ทีมที่มีตำแหน่งแชมป์ UFWC ก่อนเริ่มทัวร์นาเม้น แล้วยังจบทัวร์นาเม้นด้วยตำแหน่งแชมป์อยู่

2013 ทีมชาติไทยเฉียดแชมป์โลกมากที่สุด




หลังจากที่ญี่ปุ่นต้องมาเสียแชมป์ให้กับเกาหลีเหนือในปลายปี 2011 และตลอดปี 2012 เกาหลีเหนือก็ครองแชมป์ยาวมาตลอดทั้งปี ไม่สามารถมีใครสามารถโค่นแชมป์เปี้ยนทีมนี้ลงได้เลย (ก็เล่นไม่แข่งกับทีมนอกทวีปเลยนี่นา) จนกระทั่งฟุตบอลคิงส์คัพ 2013 ที่จัดขึ้นในเดือนมกราคมที่ประเทศไทย ทีมชาติเกาหลีเหนือก็เป็นหนึ่งในสี่ทีมที่เข้าร่วมทัวนาเม้น ซึ่งประกอบด้วย สวีเดน, ฟินแลนด์และทีมชาติไทย

และเพียงแค่นัดเปิดสนาม เกาหลีเหนือก็ต้องพ่ายจุดโทษให้แก่สวีเดน ทำให้ทีมจากเอเชียเสียแชมป์ที่ครองมายาวนานกว่า 1 ปี 3 เดือน ซึ่งถือว่าทีมชาติไทยเข้าใกล้แชมป์มากที่สุด ถ้าหากเพียงแต่ทีมชาติไทยคว้าแชมป์คิงส์คัพครั้งนี้ได้ แต่ไทยก็พ่ายต่อฟินแลนด์ไป 3-1 ตั้งแต่ในรอบแรก ทำให้ผมสิทธิ์ลุ้นแชมป์ UFWC แต่ก็ถือว่าเป็นการเข้าใกล้แชมป์มากที่สุด (ก็เล่นเชิญทีมแชมป์มาแข่งเองนี่เนอะ)

อุรุกวัย เป็นแชมป์ก่อนเริ่มฟุตบอลโลก
อุรุกวัยนำทีมโดยหม่อมกัด หลุย ซัวเรส เป็นทีมที่เป็นแชมป์อยู่ในขณะนี้ โดยการคว่ำอาเจนติน่าในการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2013 และก็รักษาแชมป์มาจนกระทั่งถึงตอนนี้ โดยนัดล่าสุดที่ชนะสโลวีเนียในเกมอุ่นเครื่อง ก็เป็นแชมป์สมัยที่ 6 แล้วของอุรุกวัย

ต้องมาลุ้นกันว่าตอนจบทัวร์นาเม้น อุรุกวัยจะเป็นทีมที่ยังรักษาตำแหน่งแชมป์ได้ต่อไปหรือไม่ (มันอาจหมายถึงว่า อุรุกวัยต้องเป็นแชมป์โลกโดยที่ไม่แพ้ใคร หรือไม่ก็ตกรอบไปโดยที่เสมอทั้ง 3 นัด) ซึ่งเส้นทางถือว่าไม่ง่ายเลยที่ต้องมาอยู่ร่วมกลุ่มกับทั้งอังกฤษ อิตาลีและคอสตาริก้า

ต้องมาลุ้นกันครับว่า สุดท้ายแล้วตอนจบทัวร์นาเม้นฟุตบอลโลก แชมป์ UFWC ยังจะเป็นอุรุกวัยหรือไม่ หรือว่าแชมป์จะกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดเกาะอังกฤษ ต้องมาตามลุ้นดูกันนะครับ



_____________________________________________________
ข้อมูลทั้งหมดรวมรวมมาจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Unofficial_Football_World_Championships
http://www.fifa.com/

แถมเว็บทางการของบอกถ้วย UFWC
http://www.ufwc.co.uk/







วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ดูหนังไปได้ไงตั้งสามเรื่องในวันเดียว

จริงๆ น่าจะเป็น 4 เรื่องด้วยซ้ำ ถ้าอีกเรื่องนึงลดราคานะ ไม่น่ารอด

สืบเนื่องจากผมไม่ได้ดูหนังมานานนับเดือน ก็เลยวางไว้ว่าวันพุธนี้จะจัดหนังชุดใหญ่ซักรอบนึง โดยหนัง 4 เรื่องที่ผมคิดว่าจะดูก็มี Edge of Tomorrow, Godzilla, Raids2 และ พระนเรศวร

โปรแกรมที่วางไว้ทีแรกจะเป็น
12.00  Raid2
15.15  Gozilla
18.00  Edge of Tomorrow
20.25  King Naresuan

แต่มีเหตุสุดวิสัยบางอย่าง เมื่อวินาทีที่ไปอยู่หน้าเค้าเตอร์ กดหนังเรื่อง Raids2 รอบเที่ยงตรง ปรากฎว่าราคาค่าตั๋วมันเป็น 110 บาท เห้ย...มันไม่ใช่แล้ว ปกติต้อง 90 บาทดิ สงสัยเรามาช้าเกินไป ราคา 90 คงหมดมั้ง ผมเลยจัดการซื้อตั๋วก็อตซิล่าไปก่อนในรอบเที่ยงครึ่ง แก้ขัด

หลังจากนั้น ผมก็เช็คราคาที่ตู้ขายอีกทีนึง กดดูเรื่อง Raids2 รอบบ่ายสาม มันราคาเท่ากันเลย ผมก็ตัดใจซื้อซะตอนนั้นเลย ช่างมัน ดู 2 เรื่อง 2 ร้อย มันก็ถือว่าถูกแล้วกับการดูหนังสมัยนี้

มาที่หนังเรื่องแรก Godzilla


ในหัวผมก็มีภาพไดโนเสาร์ตัวใหญ่ๆ เดินถล่มเมือง มีแค่นี้เอง โดยไม่ได้ตั้งความหวังว่าจะสนุกหรือไม่สนุก คิดแค่ว่าถ้าก็อตซิล่ามา แล้วอเมริกาจะจัดการยังไง แล้วเทพีเสรีภาพ จะโดนก่อนเพื่อนเหมือนหนังหลายเรื่องที่ทำกันหรือเปล่า

ปรากฎว่าพลิกว่ะครับ มันคนละเรื่องเลย จากภาพในหัวก็อตซิล่าถล่มเมือง ปรากฎว่ามันไม่ใช่เลยครับ ปรากฎว่ามันสนุกกว่าที่คิดไว้มาก บอกเลยเรื่องนี้ก็อตซิล่าหล่อมาก รับรองเลยว่า พอดูเรื่องนี้จบ คุณต้องหลงรักก็อตซิล่าขึ้นอีกเป็นกองเลย ฉากบู้ก็มัน ฉากฮาก็มี โดยเฉพาะท่าพิฆาตของก็อตซิล่าเนี่ย ทำเอาผมขำไปเลย (จริงๆทั้งโรงผมหัวเราะอยู่คนเดียว 555 )

ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวจะหาว่าสปอย(ทั้งๆที่อยากใจจะขาดก็เถอะ) ผมว่าเรื่องนี้ต้องดูเลย ไม่ควรพลาด เป็นหนังที่สนุกที่สุดของวันนี้แล้ว

หลังจากดูจบ ก็พอมีเวลาเหลือก่อนที่ Raids2 จะเข้าฉาย ผมก็เดินไปที่ตู้ขายตั๋วอีกครั้งเพื่อจะซื้อ Edge of Tomorrow แต่ปรากฎว่า ตั๋วราคา 160 บาท ไม่ไหวครับ ทำใจดูหนังราคานี้ไม่ได้จริงๆ กดเลือกมันทุกรอบแล้ว ราคานี้หมดเลย ผมก็เลยตัดใจไม่ดู ก็เลยซื้อตั๋วพระนเรศวรรอบหกโมงครึ่งแทน วันนี้ก็เลยได้ดูหนังแค่ 3 เรื่อง

มาเรื่องที่สอง Raid2


ในหัวผมไม่มีข้อมูลกับหนังเรื่องนี้เลย ตัวอย่างหนังก็ไม่เคยดู แต่เห็นว่าเป็นหนังบู้ก็เลยเลือก เพราะผมชอบดูหนังบู้อยู่แล้วด้วย ก็เลยไม่ขัดศรัทธาตัวเอง ตีตั๋วเข้าไปดูเป็นเรื่องที่ 2

Raid2 เป็นเรื่องของพระเอกเป็นตำรวจ ที่ต้องแทรกซึมเข้าไปในวงการเจ้าพ่อ เพื่อโค่นล้มวงการเจ้าพ่อ โดยวิธีการก็บ้ามากๆ คือต้องติดคุกเพื่อไปตีเนียนกับลูกเจ้าพ่อ หลังจากนั้นเมื่อสนิทกันแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเข้าไปอยู่ในวงการ

เรื่องนี้ต้องบอกว่าพระเอกมันเก่งเว้อมาก ผมว่าถ้าจ่าพนมมาเล่นท่าจะมัน แต่คนนี้เล่นก็โคตรสนุกแล้ว ภารกิจง่ายๆ คือโค่นล้ม ผมไม่บอกว่าเค้าโค่นล้มยังไง ให้ไปตามดูเอาเอง แต่เนื้อเรื่องไม่ค่อยน่าติดตามเท่าไหร่ แต่ไฮไลท์เนี่ยอยู่ตอนสุดท้ายเลย

สุดท้ายพระเอกจะต้องบุกเข้าไปจัดการเจ้าพ่อกลุ่มหนึ่ง(เรื่องนี้บอกได้ มันไม่ทำให้หนังสนุกน้อยลง ไม่น่าเรียกสปอยมั้ง) แล้วมันฮาตรงที่ พระเอกมันบุกไปคนเดียว แล้วแบบมันเป็นรังเจ้าพ่อที่มีลูกน้องเป็นร้อย ตอนดูให้นึกถึงตอนเล่นเกมพวกตะลุยด่านเลยครับ อย่างนั้นเลยครับ

พระเอกต้องเจอลูกน้องตั้งแต่ลูกกระจอก ไปจนถึงบอส คือแบบเจอเก่งไปเรื่อยๆ มันสนุกตรงนี้แหละครับ มันลุ้นว่าพระเอกมันจะไปได้ถึงไหน พระในด่านนั้นมันมีคนที่พระเอกสู้ไม่ได้อยู่ด้วย แล้วยิ่งบอสใหญ่ๆ ยิ่งโคตรเก่งครับ สนุกทีเดียวสำหรับฉากสุดท้าย ดูได้เลยครับเรื่องนี้ ไม่เสียดายตัง (แต่ตอนแรกๆ อย่าหลับซะก่อนล่ะ)

เรื่องสุดท้าย พระนเรศวร


เรื่องนี้ผมดูมาตั้งแต่ภาคแรก จนภาคนี้เป็นตอนสุดท้ายซักที ได้ยินกระแสมากมายว่า เห้ย...ทำไมจบอย่างนี้ จบแปลกๆ พอหลังจากไปดูผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ภาคนี้เป็นภาคสุดท้ายแล้ว ไฮไลท์อยู่ที่การทำยุทธหัตถีชนช้าง ผมว่าก็เป็นหนังที่สนุกใช้ได้เลย แต่ความสนุกผมให้เป็นรองสองเรื่องข้างบนอยู่ แต่ความน่าดูผมให้เป็นรองเรื่อง Godzilla เรื่องเดียว

เนื้อเรื่องก็ตามประวัติศาสตร์เลยครับ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ฉากประทับใจของผมคงอยู่ที่ฉากที่พระมหาธรรมราชา(บิดาของพระนเรศวร)สิ้นพระชนม์ ผมชอบฉากนี้ที่สุด เป็นฉากที่พ่อพูดกับลูก ผมดูไปน้ำตาเกือบไหลเหมือนกัน เป็นการฝากบ้านฝากเมือง แล้วรู้เลยว่าพระนเรศวรเป็นคนเก่งขนาดไหน ฉากนี้ฉากเดียวเรียกว่าเหมือนได้ดูมาครบทั้งสี่ภาคเลย

ผมว่าเรื่องนี้ดูได้ครับ แต่ผมว่ามันจบห้วนๆ ไปหน่อย เอาตรงๆ นะ ผมดูแล้วไม่รู้สึกรักชาติขึ้นมาเท่าไหร่เลย กลับกัน ผมกลับสงสารทางฝั่งพม่ามากกว่า รู้สึกอินกับฝั่งนู้นที่มีความพยายาม และระหว่างดูในหัวก็ดันนึกถึงบุเรงนอง หรือผู้ชนะสิบทิศ ขึ้นมาในหัวว่า ทำไมท่านเก่งจัง ตีอยุธาได้ยังไง แล้วก็ไปนึกว่าฉายานี้ท่านได้มาต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

ผมอาจจะเอียนกับหนังเรื่องพระนเรศวรไปมั้ง ผมเลยไม่อินเท่าไหร่ แต่เป็นหนังเรื่องนึงที่ควรดูนะครับ ดูเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ ผมว่าก็สนุกดีไปอีกแบบ

สรุปหนังวันนี้ให้เรียงเรื่องที่น่าดู
อันดังหนึ่ง Godzilla
เนื่องจากไม่ได้ตั้งความหวัง เลยรู้สึกสนุกเป็นพิเศษ ประถับใจในตัวก็อตซิล่าภาคนี้มาก ต้องดูให้ได้นะครับ

อันดับสอง พระนเรศวร
ถึงปากจะบอกไม่ชอบ แต่มันก็ดูแล้วไม่เบื่อ ดูได้จนจบเรื่อง การดำเนินเรื่องก็ดีกว่าเรื่อง Raid2 เพราะผมคงรู้เป้าหมายอยู่แล้วมั้ง มันก็เลยดูเพลินๆ

อันดับสาม Raid2
ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีนะ ผมว่าโอเคเลยทีเดียว ที่ให้อันดับสามเพราะว่าฉากบู้ ฉากฆ่ากัน ผมว่าภาพมันดูโหดไปหน่อย ไม่ต้องทำโหดขนาดนั้นก็ได้มั้งผมว่า ภาพมันไม่น่าดูเลย คือฟันทีเดียวให้ตาย ก็รู้แล้วว่าตาย ไม่ต้องฟันแหกปากให้เห็นก็ได้ แต่โดยรวมก็สนุกมากๆ ครับหนังเรื่องนี้

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

liverpool vs chelsea The Key Battles เปรียบเทียบช็อตต่อช็อต

นับตั้งแต่การประกบคู่ออกมา มันเป็นการพบกันของทีม Top4 และเป็นอีกนัดที่ไม่ควรพลาด หงส์เจอหอย, เฮียรอดเจอเฮียมู, อดีตเพื่อนร่วมงาน แต่ตอนนี้มาเป็นคู่ต่อสู้ ตอนนี้ทั้งสองทีมเป็นคู่ต่อสู้โดยตรงในการไล่ล่าแชมป์ และผลการแข่งขันในนัดนี้ถือว่าเป็นนัดตัดสินแชมป์เลยทีเดียว ก่อนหน้านี้สองสัปดาห์ หงส์ได้จัดการล่มเรือใบมาได้แล้ว ทำให้ตอนนี้เชลซีเลยกลายเป็นรองจ่าฝูงอยู่ และถ้าเหตุการณ์ปกติ มันต้องเป็นอีกนัดหนึ่งที่สนุกมากแน่ๆ


จ่าฝูงที่ถือว่าได้จับหูถ้วยไว้ข้างหนึ่งแล้วหลังจากที่ชนะมา 11 เกมรวดอย่างมหัศจรรย์ และหงส์แดงเคยถูกเชลซีดับฝันไม่ให้ขึ้นจ่าฝูงมาแล้วในนัดที่พบกันที่สแตมฟอร์ด บริดจ์เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่หลังจากนั้นหงส์แดงก็ทำสถิติไม่แพ้ใครอีกเลย ชนะไป 14 เสมออีก 2 ใน 16 นัดหลังสุด หลังจากที่เฉือนชนะนอริช 3-2 มาในสัปดาห์ที่แล้ว ตอนนี้หงส์แดงต้องการอีก 7 แต้มจาก 3 เกมเพื่อการันตีแชมป์ที่รอคอยมากว่า 23 ปี

เชลซีได้ทิ้งโอกาสตัวเองในการคว้าแชมป์หลังจากที่พลาดท่าเสียทีต่อซันเดอแลนด์ 1-2 ในบ้านตัวเองในนัดที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการแพ้ในบ้านครั้งแรกของมูรินโญ่ในการคุมทีมเชลซี ซึ่งถือเป็นการพ่ายแพ้ที่มาผิดเวลามากๆ ซึ่งทำให้ตอนนี้เชลซีตามหลังถึง 5 แต้มเข้าให้แล้ว และนำแมนซิตี้อยู่เพียงแต้มเดียวซึ่งแข่งน้อยกว่าทั้งสองทีมอยู่หนึ่งนัด ซึ่งชัยชนะนัดนี้จะทำให้เชลซีกลับมามีความหวังได้อีกครั้ง แต่มันจะเป็นไปได้หรือเปล่า เมื่อเชลซีตอนนี้มีนักเตะบาดเจ็บเต็มไปหมด

รอดเจอร์ vs มูรินโย่

รอดเจอร์และมูรินโย่ต่างก็รู้ไส้รู้พุงกันอย่างดี แถมยังมีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ อีกด้วยในตอนที่มูรินโย่มาคุมทีมเชลซีในครั้งแรก หลังจากนั้นรอดเจอร์ก็ออกไปคุมทีมวัตฟอร์ด, เรดดิ้ง, สวอนซีและล่าสุดก็ที่มูรินโย่กลับมาคุมทีมเชลซีอีกครั้ง รอดเจอร์ก็ได้มีโอกาสคุมทีมลิเวอร์พูล 

ในตอนแรกลิเวอร์พูลถูกคาดหวังว่าจะเป็นเพียงทีมที่ลุ้นตำแหน่งอันดับ 4 ในตารางเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้ทีมของรอดเจอร์ก็การันตีอันดับ 3 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของกุนซือหนุ่มชาวไอร์แลนด์เหนือ และในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังแท็กติกส่วนใหญ่ของรอดเจอร์จะสลับไปมาระหว่าง 4-3-3 กับ 4-1-2-1-2 ซึ่งถือว่าเป็นแท็กติกที่ปิดจุดอ่อนของลิเวอร์พูล ซึ่งถือว่าเป็นแท็กติกที่เยี่ยมมาก จนน่าปรบมือให้เลย

เรารู้อยู่แล้วถึงความยอดเยี่ยมของมูรินโย่ ผลงานของเขาก็ตอบทุกอย่าง โดยสร้างความสำเร็จได้ในทุกๆสโมสรที่มูรินโย่ไปเยือน เชลซีอยู่ในเส้นทางชิงชัยตำแหน่งจ่าฝูง แถมตอนนี้ก็ผ่านเข้ารอบรองชนะเลยฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกไปแล้ว 

ซึ่งการที่มีเกมยุโรปอาจจะต้องทำให้มูรินโย่ตัดสินใจที่จะพักผู้เล่นสำคัญบางตำแหน่ง แต่มูรินโย่ก็คือมูรินโย่ เขาคงไม่ยื่นตำแหน่งแชมป์ให้กับลิเวอร์พูลง่ายๆ แน่ และมูรินโย่ก็ต้องมีแผนรับมือเพื่อชัยชนะไว้เช่นกัน ซึ่งเชลซีมีสถิติที่ดีมากในการพบกับทีมใหญ่ๆ ในฤดูกาลนี้ ซึ่งการไปเยือนแอนฟิลครั้งนี้ไม่มีกลัวแน่นอน

Attack vs Defend : เปรียบเทียบสถิติของทั้งสองทีม

ลิเวอร์พูลมีฟอร์มถล่มประตูที่ร้อนแรงมาก ซึ่งฤดูกาลนี้ทำไปแล้วถึง 96 ประตู ถือเป็นสถิติสโมสรเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้กำลังท้าทายสถิติ 103 ประตูของเชลซีที่เคยทำไว้ ซึ่งมีโอกาสอีก 3 เกม สถิติการยิงประตูได้ในทุกๆ 35 นาที ลิเวอร์พูลทำประตูได้ 20% จากโอกาสทำประตู 477 ครั้ง ซัวเรสกับสเตอริดจ์เป็นผู้นำดาวซัลโว โดยทำไปคนละ 30 และ 20 ประตูตามลำดับ นอกจากนั้นยังมีสเตอริ่ง, เจอราร์ดและสเคอเทลที่ทำประตูรวมกันเฉียดๆ 30 ประตูเข้าให้แล้ว


ถ้าฤดูกาลนี้หงส์แดงสามารถคว้าแชมป์ได้ ก็จะมีโอกาสเป็นทีมแชมเปี้ยนที่เสียประตูมากที่สุดที่เคยมีมา แมนยูเคยทำไว้ที่ 45 ประตู ซึ่งลิเวอร์พูลตามอยู่เพียง 1 ประตูเท่านั้น ในขณะที่มีเกมรุกที่สุดยอด แต่เกมรับนั้นก็สุดแย่ ซึ่งแต่ละเกมที่ลิเวอร์พูลลงแข่งมักจะมีประตูเกิดขึ้นอย่างถล่มทลาย โดยปีนี้หงส์แดงเก็บคลีนชีสได้เพียง 10 เกมเท่านั้น โดยเสียประตูเฉลี่ย 1.26 ลูกต่อเกม ด้วยข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นมากมาย นี่ถือว่าเป็นตัวแปรที่น่ากลับเลยทีเดียวสำหรับเกมนี้

ในทางตรงกันข้าม เชลซีเป็นทีมที่มีเกมรับยอดเยี่ยมมากๆ โดยมีเทอรี่และเคฮิล เป็นสองเซ็นเตอร์แบ็คที่ดีที่สุดในลีกในขณะนี้ ด้วยคลีนชีสถึง 16 นัดและเสียงไปเพียง 26 ประตูเท่านั้นในฤดูกาลนี้ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.74 ลูกต่อเกม อิวาโนวิชยืนประจำการฝั่งขวา โดยมีแบ็คซ้ายที่น่าประหลาดใจที่ชื่อนั้นเป็นซีซ่า แอสปิลิกูเอต้า ที่แย่งตำแหน่งของแอชลี่ โคลมาได้ในฤดูกาลนี้ ซึ่งกลายเป็นแบ็คซ้ายตัวเลือกแรกของมูรินโย่ในฤดูกาลนี้ไปแล้ว และการมีมาติซทำให้กองหลังเชลซีอุ่นใจขึ้นมาก แถมมีเว็ค ที่เป็นปราการด่านสุดท้ายที่อุ่นใจของเชลซี


สาเหตุที่จะทำให้มูรินโย่ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ก็น่าจะเป็นจากเกมรุกที่ไม่สามารถทำประตูได้มากเท่าไหร่นัก และเมื่อดูจากสถิติ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วเมื่อทำได้เพียง 67 ประตูในฤดูกาลนี้ ซึ่งน้อยกว่าลิเวอร์พูลเกือบ 30 ลูก เชลซีชนะในแต่ละเกมมาได้ด้วยประตูอันน้อยนิด ซึ่งกองหน้าอย่างตอเรส, เอโต้และบาทำประตูรวมกันได้เพียง 17 ประตู ซึ่งถือว่าน้อยมากสำหรับทีมใหญ่อย่างเชลซี และเป็นอาซาร์ที่ทำประตูได้มากสุดที่ 14 ประตู แถมยังมีออกก้าและชูเร่ ที่แต่ละคนทำประตูได้หน่อมแน้มมาก

Key Battle

ซาโก้ vs เคฮิล

มามาดู ซาโก้ กองหลังลิเวอร์พูลที่หายไปนานจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งฤดูกาลนี้ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงไปเพียง 15 นัดเท่านั้น เขาเป็นกองหลังที่ดุดันโดยธรรมชาติ และเล่นได้ดีเมื่อเจอกองหลังที่ตัวใหญ่ๆ แต่เขาก็มักจะมีปัญหาเมื่อเจอฝั่งตรงข้ามกดดันหนักๆ อย่างไรก็ตามตอนนี้ซาโก้ก็กลับมายึดตำแหน่งตัวจริงได้อีกครั้งในสามเกมล่าสุด ดาวเตะฝรั่งเศษมีการเข้าปะทะที่สูงมากที่ 91.67% จากการปะทะทั้งหมด 24 ครั้ง ซาโก้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ลงเล่นในนัดที่แพ้เชลซี 2-1 ก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บ


เคฮิลเป็นหนึ่งในกองหลังตัวหลักของเชลซี ซึ่งเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมหลังจากที่ย้ายออกมาจากโบลตันสู่รังสแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นกองหลังที่ไม่มีสถิติความผิดพลาดส่วนตัว เป็นกองหลังที่ไม่มีความเร็ว แต่ดุดันมากเวลาอยู่ในแดนตัวเอง และมีการทำงานที่หนัก เคฮิลลงเล่นไป 28 เกท โดยเก็บคลีนชีสได้ถึง 15 เกมเลยทีเดียว มีสถิติอย่างหนึ่งที่น่าทึ่งมากเมื่อมีเคฮิลลงสนาม ทำให้ทั้งทีมมีสถิติชนะการแย่งลูกบนพื้น 68% และชนะลูกกลางอากาศ 70% แต่ตอนนี้แผงหลังที่ดีที่สุดในอังกฤษต้องมีปัญหาซะแล้ว เมื่อต้องลงเล่นในวันอาทิตย์ที่ไม่มีคู่หูอย่างจอห์น เทอรี่ ที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บมาไม่นาน

สเตอริ่ง vs วิลเลี่ยน

หลังจากชัยชนะต่อนอริชเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รอดเจอร์ได้ให้ความเห็นต่อสเตอริ่งว่าเป็นดาวรุ่งที่เก่งที่สุดในยุโรปขณะนี้ ด้วยความยอดเยี่ยมจากการทำได้ถึง 2 ประตูจากนัดล่าสุด ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเจ้าตัวเลยทีเดียว ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในทีม 11 คนแรกของรอดเจอร์ เมื่อตอนที่ซัวเรสโดนแบน ฮัลเป็นทีมแรกที่เขาลงเล่นด้วย ซึ่งนัดนั้นเป็นนั้นที่ไม่ดีเอาซะเลยสำหรับลิเวอร์พูลและก็พ่ายแพ้ไป 

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น นักเตะวัย 19 ปีก็มักจะถูงส่งลงมาเพื่อเล่นเกมโต้กลับเร็ว และก็มาระเบิดฟอร์มในตอนที่ได้มาเล่นกับซัวเรสและสเตอริดจ์ จาก 2 ประตูในนัดที่แล้วทำให้ฤดูกาลนี้เขาทำไปแล้ว 9 ประตู แถมมีการเลี้ยงผ่านคู่ต่อสู้ 78 ครั้ง และสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม 43 ครั้ง และตอนนี้สเตอริ่งได้เข้ามาอยู่ในตัวเลือกแรกที่มีโอกาสที่จะลงฟาดแข้งกับเชลซีแล้ว



นักเตะทีมชาติบราซิล ผู้เคยมาเจรจากับลิเวอร์พูลก่อนที่จะจรดปากกากับเชลซี ตอนนี้ได้สอบแทรกขึ้นมายึดตำแหน่งตัวจริงในทีมเชลซีได้แล้ว หลังจากที่พบความยากลำบากบ้างกับชีวิตในลอนดอน แม้จะมีความสามารถที่รอบด้าน แต่มูรินโย่ก็ยังต้องการอะไรมากกว่านั้นจากนักเตะของเขา สิ่งหนึ่งคือเกมรับ แต่วิลเลี่ยนสามารถกดดันกองหลังของฝั่งตรงข้ามได้ดี โดยที่สร้างโอกาสให้เพื่อนไปแล้ว 58 ครั้ง กับ 2 แอสซิสและ 3 ประตูในฤดูกาลนี้ ซึ่งการทำงานหนักของเขาทำให้เป็นที่ชื่นชอบมากของมูรินโย่ และก็หวังว่าจะได้ลงเล่นในเกมที่แอนฟิล

ซัวเรส vs ตอเรส

หลังจากที่มีดราม่าการย้ายตัวเมื่อตอนก่อนเริ่มฤดูกาล ทำให้มีคำถามตามมาในเรื่องของความกระตือรือร้น ความสามารถว่าจะทำได้ดีกับลิเวอร์พูลอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งผลงานในสนามก็ได้ตอบทุกอย่างแล้วสำหรับตัวนักเตะชาวอุรุกวัยรายนี้ ที่ตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีคงไม่หนีหายไปไหน ซัวเรสอันตรายได้เท่าๆ กับสุดยอดกองหน้าทุกคนที่เคยมาเล่นในพรีเมียร์ลีก กับ 30 ประตูในฤดูกาลนี้ที่มีนักเตะเพียง 6 คนเท่านั้นที่ทำได้ แถมมีคู่กองหน้าอย่างสเตอริดจ์ที่ทำไปแล้ว 20 ประตู เป็นเพียงสองคนเท่านั้นในฤดูกาลนี้ที่ยิงได้เกิน 20 ลูก 

นอกจากนั้นซัวเรสยังนำอันดับแอสซิสที่ 12 ครั้งอีกด้วย มันแสดงหให้เห็นว่า เขาทำได้ทั้งการสร้างสรรค์และการจบสกอร์ เป็นกองหน้าที่อันตรายต่อฝั่งตรงข้ามอย่างมาก ซัวเรสได้ตอบแทนแฟนๆ ที่พร้อมจะหนุนหลังเขาด้วยการเล่นอันสุดยอดอย่างมาก กองหลังเชลซีนัดนี้ต้องเล่นได้อย่างสุดยอดเท่านั้น ถึงจะสามารถหยุดกองหน้ารายนี้อยู่



ตอเรสในตอนนี้ถือว่าเป็นกองหน้าตัวสำรองในสีเสื้อเชลซี อดีตกองหน้าลิเวอร์พูลที่เคยเล่นได้อย่างสุดยอดในสีเสื้อลิเวอร์พูล แต่ที่นี่กลับไม่ใช่ ซึ่งปีนี้เขายิงไปเพียง 4 ประตูจากโอกาสยิง 33 ครั้ง ซึ่งเปอเซ็นต์การทำประตูต่ำเตี้ยมากอยู่ที่ 12% เท่านั้น แต่จะโทษตอเรสอย่างเดียวก็จะดูโหดร้ายไปหน่อย เพราะหลายครั้งในฤดูกาลนี้ตอเรสได้จับให้ไปเล่นในพื้นที่ที่ไม่ถนัด ทำให้ความมั่นใจเป็นปัญหาใหญ่ของตอเรสในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ตอเรสมักจะโผล่มายิงประตูสำคัญให้กับเชลซีได้อยู่เสมอ อย่างเช่นในเกมยุโรป และหวังว่านัดนี้เขาจะมาทำประตูสำคัญได้อีกครั้ง เพื่อโอกาสในการคว้าแชมป์ลีกในปีนี้

บทสรุป

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในนัดนี้ ตำแหน่งแชมป์ก็ยังไม่ถูกตัดสินจนกว่าจะผ่านอีกสองเกมที่เหลือหลังจากนี้ไปได้ แต่มันมีโอกาสที่ลิเวอร์พูลจะเพิ่มโอกาสการคว้าแชมป์ของตัวเอง ซึ่งถ้าจะมีใครมาหยุดความร้อนแรงของทีมหงส์แดงในตอนนี้ได้ เห็นว่าก็น่าจะมีแต่มูรินโย่เท่านั้น ซึ่งถ้าเขาสามารถคว้าผลการแข่งขันที่ดีออกมาได้จากแอนฟิล นัดนั้นต้องถือเป็นอีกนัดที่น่าจดจำเลยทีเดียว

ที่มา : http://eplindex.com/
แปล/เรียบเรียง : Tiger Sky (ผมเอง)

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

รีวิวบรรยากาศภายใน CP Mobile Cuisine

“เกี๊ยว Morning” ครับทุกคน วันศุกร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปลองชิมเกี๊ยว ที่ CP Mobile Cuisine มา ตอนแรกก็ตั้งใจไปทานเกี๊ยวจริงๆ แต่พอเจอคุณหลุยส์ สก๊อตเท่านั้นแหละ ก็อยากทานมากกว่าเดิม 




จากที่จะชิมเกี๊ยวฟรีชามเดียว เลยสั่งมาครบทุกเมนูเลย ต้องบอกเลยว่าอาหารอร่อยทุกอย่าง 

เรื่องบรรยากาศของซุ้ม CP Mobile Cuisine สิ่งแรกที่เราเห็นคือรถขนวัตถุดิบและเชฟที่จะมาปรุงอาหารสดใหม่ หน้าตาหน้าทานทุกเมนูเลย 




และเมื่อเข้าไปนั่งสิ่งแรกที่เราจะได้ทั้งที่ยังไม่ได้สั่ง คือน้ำชา กลิ่นหอมละมุน ชุดเสิร์ฟสวยหรู ชาม แก้ว ชุดเครื่องปรุง เป็นเซลามิคสีดำ ดูดีมากๆ ให้ความรู้สึกเหมือนได้นั่งทานเกี๊ยวในร้านอาหารที่ฝรั่งเศสเลยครับ



พนักงานเสิร์ฟก็อัธยาศัยดี บรรยากาศร่มรื่นมากๆ นอกจากได้ทานเกี๊ยวฟรีแล้วในงานยังมีกิจกรรมให้ถ่ายรูปแล้วอัปโหลดลงอินสตาแกรมอีกด้วย แค่ใส่ #cpwonton #wontonmorning อัปโหลดเสร็จก็รับกระเป๋าผ้าสวยๆไปเลย ซึ่งสามารถขอพร๊อพจากพนักงานเสิร์ฟ หรือให้เค้าช่วยถ่ายรูปให้ก็ได้



ถ้าใครอยากลองชิมเกี๊ยวมอร์นิ่ง สามารถติดตามรายละเอียดของ CP Mobile Cuisine ได้ที่ https://www.facebook.com/brandcp

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

คิดถึงวิทยา หนังดีที่ครูคู่ควร

ผมเป็นคนหนึ่งที่มีอาชีพเป็นครูคนหนึ่ง อาจจะไม่ประจำแต่ก็เป็นครูสอนพิเศษคณิตศาสตร์หากินไปวันๆ และก่อนที่จะไปดู มีหลายคนมากๆ บอกว่าไม่อิน ไม่เห็นสนุกเลย แต่คิดว่า คนที่เป็นครูไปดูน่าจะอินนะ

ผมก็คิดว่า เห้ย...รู้ได้ไงว่ะว่าครูจะอิน ซึ่งแต่ละคนไม่มีใครเป็นครูเลยที่มาบอกว่าคนเป็นครูไปดูแล้วจะอินเนี่ย



และก่อนไปดู ผมจะถามทุกคนที่ดูแล้วว่าเปรียบเทียบกับ Timeline และ Until now แล้วเป็นไงบ้าง

และหลายคนที่ได้ดูหนังทั้งสองเรื่องก็บอกว่า ทั้งสองเรื่องข้างบนซึ้งกว่า จนผมก็เริ่มมาคิดจริงจังแล้วว่า สงสัยหนังจะไม่น่าดูจริงๆ

แต่ด้วยรายได้ตอนเปิดตัว มันสูงมากทีเดียว ก็คิดอีกว่า เอ...ลำพังแค่พี่บี้ จะทำให้หนังขายดีขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าหนังมันไม่ดีจริง จนกระทั่งผมพอจะมีเวลาออกไปดูหนังวันนี้เนี่ยแหละ หลังจากที่ไม่ได้ดูมานานมาก (ประมาณ 2 อาทิตย์)

หลังจากดูแล้วผมบอกเลยว่า อินว่ะครับ พอดูแรกๆ ผมไม่ได้อินในฐานะที่เป็นครูนะ แต่อินในตอนที่เป็นนักเรียนมากกว่า โดยเฉพาะตอนเรียนมหาวิทยาลัยเนี่ย มีอยู่ฉากหนึ่งผมอินมาก ฉากที่ครูแอนบอกนักเรียน ป.6 คนหนึ่งว่า

"ไม่ว่าแกจะทำอะไร ก็อย่าทิ้งการเรียนนะ"



น้ำตาแทบซึม คำที่อาจารย์ชนิศวรา ขึ้นมาในหัวผมเลย เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาผมตอนเรียนมหาวิทยาลัย พูดคำเดียวกันนี้เลย น้ำตาแทบซึมเลยผม

แถมดูๆ ไปทั้งครูแอน ครูสอง ก็ทำให้เห็นครูอาชีพจริงๆ ถ่ายทอดความเป็นครูออกมาได้ดีมาก เป็นครูต้นแบบที่ผมคิดว่าครูทุกคนควรจะเอาเป็นแบบอย่าง ทุกวันนี้หลายคนอาจจะลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญสำหรับครูไป ผมว่าถ้าครูได้ไปดูเรื่องนี้ มันจะเป็นการตอกย้ำความเป็นครู จะได้ไม่ลืมตัวไปกับยุคสมัย

และพอดูไป ผมก็ตอบคำถามตัวเองได้ข้อหนึ่งว่า ถ้าไปเทียบกับหนัง Timeline และ Until now แล้ว แบบไหนดีกว่ากัน

ซึ่งผมว่ามันไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ เพราะหนังเรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวความรักมาน้อย ถึงแม้จะอินแต่ไม่ได้อินจนร้องไห้ แต่หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นครูมากกว่า ผมว่าเป็นหนังที่ควรดูเลยล่ะ (มาบอกช้าไปหรือเปล่าก็ไม่รู้)

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 49 ตอน ทดลองแป้นพิมพ์ note8

ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะครับ ที่ผมยังไม่ยอมเขียนภาคต่อของเรื่องบาสซักที หาเรื่องเขียนไปเรื่อย แถมไม่เขียนทุกวันด้วยนะ เบี้ยวอย่างบ่อย ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น

และวันนี้ผมก็ได้ซื้อคีย์บอร์ดใหม่สำหรับ note 8.0 มาเพื่อใช้ทำงานเขียน เลยกะว่าจะเอามาบ่นซะหน่อย หลังจากที่ได้ใช้มาหลายวันแล้วเหมือนกัน

คีย์บอร์ดนี้ผมบังเอิญอยากได้ และก็บังเอิญไปเจอที่ร้านค้าแห่งหนึ่งแถวพระรามสอง ราคา 500 บาทพร้อมเคสอันใหญ่เทอะทะ มันใหญ่จริงๆ ครับ พอใส่เป้อย่างตุง แบบมันจะหนาไปไหน ยิ่งวันที่ไปเตะบอลนะ ทั้งรองเท้าก็ใหญ่แล้ว ชุดบอลอีก หนังสือเรียน และแถมมีเจ้านี้ให้มาเกะกะกระเป๋าอีก มันเริ่มยากและจริงๆ

แต่เรื่องนี้จะไม่บ่นมากเพราะผมยอมรับสภาพตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นอยู่แล้วว่าจะเจออย่างนี้

วันที่ผมไปลองปรากฎว่า คีย์บอร์ดเปลี่ยนภาษาไม่ได้ ผมก็เลยต้องโหลดแอปบางตัว ก็ยังเปลี่ยนไม่ได้ นเขาเข้าไปหลังร้าน จึงเปลี่ยนได้ทันที ผมก็ลองพิมพ์ทดสอบความลื่น ก็อ่ะ โอเค ใช้ได้ ตรงสเป็ก แต่ปัญหาก็เกิดขึ้น

ปัญหาใหญ่เลยคือ แป้นไทยมันยาวไป ดังนั้นตัว "บ" "ล" "ง" จึงกระโดดมาอยู่ล่างสุดของแป้นพิมพ์
คือปกติตัวเหล่านี้จะอยู่ยาวไปทางขวา แต่ด้วยความสั้น มันจึงวางไม่พอ เอามาวางไว้เล็กๆ ข้างล่างซะงั้น ลำบากเลยผม เจอปัญหานี้อยากจะไปเขวี้ยงทิ้ง และนี่คงเป็นงานเขียนแรกและงานเขียนสุดท้ายที่ใช้แป้นพิมพ์นี้ ไม่ไหวครับ คือซื้อเพื่อที่อยากจะทำงานคล่องขึ้น แต่มันทำให้คล่องน้อยลง อย่างนี้ไม่ไหวครับ ผมไม่เอา

คราวหลัง ถ้าจะซื้อคีย์บอร์ดแปลกๆ นอกจากความลื่นแล้ว ให้ลองดูด้วยว่า แป้นมันเหมือนที่ถนัดหรือเปล่า

เรื่องตลกอีกอย่างคือ การเปลี่ยนภาษา พอออกจากร้านมาผมพบว่า แอปอะไรที่โหลดมา ไม่เห็นจำเป็นเลย อยากเปลี่ยนภาษา ก็กดหน้าจอเอา ไม่เห็นยาก 5555555

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 48 ตอน กลับมาทำไม

วันนี้ทดลองมาเขียนบล็อกตอนกลางวัน ไม่รู้จะเขียนไปได้ถึงไหน
ปกติเวลาเขียนบล็อก จะต้องออกไปเจออะไรก่อน แล้วค่อยกลับมามีเรื่องจะเขียน แต่ตอนนี้มันกลับบ้านมารู้สึกเรอ่มเหนื่อย กลับมากว่าจะถึงบ้านก็ดึกๆ ดื่นๆ แถมมีงานที่ทำไม่เสร็จอีก ก็เลยไม่มีอารมณ์ ไม่มีอารมณ์ที่จะขีดๆ เขียนๆ อะไรจริงๆ (ตอนเขียนอยู่นี้งานก็ยังไม่เสร็จนะ)

คือตอนที่มีอารมณ์อยากเขียนคือ ตอนที่ว่างๆ ว่างจริงๆ ไม่รู้จะทำอะไร สมองมันแล่นมากๆ แต่พอมีช่วงที่งานยุ่งๆ บางทีพอทำงานเสร็จก็ไม่อยากจะทำอะไร อยากออกไปสังสรรค์มากกว่า ไปเจอเพื่อน ไปเตะบอล ไปทำอะไรต่อมิอะไร พอกลับมาบ้านก็เหนื่อย ขี้เกียจทำอะไร

และช่วงนี้ก็เกิดอารมณ์อยากเที่ยว อยากเที่ยวมากๆ ยิ่งทำงานเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากเที่ยวมากเท่านั้น คือปกติเที่ยวเยอะนะ แต่พอได้เที่ยวแล้วมันเสพย์ติด ติดเที่ยว เที่ยวคนเดียวก็ได้นะบางที ไม่ได้ซีเรียส แต่ไม่อยากอยู่กับที่ ไม่อยากทำงานหน้าคอม อยากออกจากหน้าคอม

ไม่รู้เพราะว่าช่วงหลังมี note8 หรือเปล่าไม่รู้ มันทำให้การทำงานหน้าคอมมันเป็นอะไรที่ยากมาก และยิ่งตอนนี้ดันไปหาคีย์บอร์ดที่สามารถต่อจาก note8 ได้แล้วตอนนี้เลยพิมพ์งานก็จาก note8 อย่างเดียว เล่นเกมก็ note8 ทำนู่นทำนี่ก็ note8 เดี๋ยวนี้ถ้าเกมไหนที่เล่นในแอนดรอยไม่ได้ก็จะไม่เล่น

อาจจะเพราะคอมมันไม่ค่อยดีแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือว่าเป็นแค่ข้ออ้าง อาจจะลองไปทำอะไรให้คอมดีขึ้น กำจัดข้ออ้างทุกอย่างออกไปให้หมด แล้วมาดูซิว่าจะยังขี้เกียจอยู่มั้ย

เอาว่ะ ลองดู อยากรู้เหมือนกันว่าความขี้เกียจมันจะไปได้ถึงไหน

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 45 ตอน ขี่มอเตอร์ไซต์เที่ยวน้ำตก

อาทิตย์นี้ก็เป็นอาทิตย์ปกติที่ผมต้องไปสอนหนังสือไกลถึงชัยภูมิ แต่อาทิตย์นี้มีความพิเศษตรงที่ ผมไปตั้งแต่บ่ายวันศุกร์ ดังนั้นมันจึงมีเวลาเหลือมากมายให้ผมได้เที่ยว ไปชัยภูมิมาก็หลายเดือน เพิ่งจะได้เที่ยวแบบจริงๆ จังๆ ก็คราวนี้แหละ ตื่นเต้นดีจัง

แรกเริ่มเดิมที ผมก็ไม่ได้คิดจะไปเที่ยวหรอก กะว่าสอนตอนเช้าวันเสาร์เสร็จ ก็จะยืมมอเตอร์ไซต์ไปขี่เล่นในเมืองซักหน่อย หาอะไรกิน อาหารพื้นเมือง เดินตลาด เข้าวัดอะไรแบบนั้น แต่ผมก็ต้องมาสะดุดกับคำว่า น้ำตกต่ลโตน 22 กิโลเมตร

การขี่มอเตอร์ไซต์ 22 กิโลเมตรสำหรับผมมันเป็นเรื่องที่ชิวๆ มาก แต่คนในพื้นที่หลายคน เมื่อได้ยินว่าผมขี่มอเตอร์ไซต์ไปน้ำตกตาลโตน ก็ตกใจกันใหญ่ ไม่รู้ทำไม เอาจริงๆ มันไม่ไกลเลย ผมขี่รถในกรุงเทพระดับ 20 กิโลเมตรเป็นเรื่องปกติ ส่วนใหญ่จะขี่ 30 กว่ากิโลเมตรด้วยซ้ำ ผมจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องเด็กๆ มาก



จากทีแรกว่าจะเที่ยวเมือง พอเห็นป้ายเท่านั้นแหละ ผมไม่ลังเลเลย เลี้ยวรถไปตามทาง โดยไม่สนใจเลยว่าจะไปถูกหรือเปล่า จะหลงมั้ย สำหรับผมไม่มีอยู่ในหัวครับ เราคนไทย พูดภาษาไทย ยังไงก็ไม่มีทางหลงชัวร์ คิดอะไรมากครับ เที่ยวไม่มีแผนอย่างนี้แหละมัน 555

และพอขี่มอเตอร์ไซต์ไปเรื่อยๆ ก็ผิดคาดครับ น้ำตกตาลโตนกับตัวเมืองชัยภูมิ มันไปง่ายมาก ทั้งป้ายบอกทางที่มีเป็นสิบตั้งแต่ตัวเมืองจนถึงน้ำตก ยังไม่พอ มันเป็นทางตรงยาวที่ไม่ต้องเลี้ยวซ้ายหรือขวาเลย มันไม่มีอะไรที่ทำให้หลงเลยครับ มันแบบอะไรจะง่ายขนาดนั้น ชิวเลยทีนี้



ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าผมชอบน้ำตกขนาดไหน แต่พอมาถึงแล้วผมถึงรู้ว่า ผมชอบน้ำตกมาก และไม่ได้มาน้ำตกนี่ก็หลายปีมากๆ ขนาดปีที่แล้วไปเที่ยวอย่างบ่อย ก็ไม่มีทริปไปน้ำตกเลย ที่ใกล้เคียงหน่อยก็ภูกระดึง มีน้ำตกครับ แต่ไม่มีน้ำ ไปภูกระดึง 2 รอบ ไม่มีน้ำทั้ง 2 รอบ ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรถึงจะได้เห็นน้ำตกภูกระดึง

สำหรับน้ำตกตาลโตน เป็นน้ำตกที่ใกล้ตัวเมืองชัยภูมิมากที่สุด และเจ้าหน้าที่บอกว่าคนเยอะทุกวัน วันนี้คนก็เยอะพอสมควร แต่พอผมเข้าไปแล้วก็พบว่า เยอะของที่นี่ ถ้าไปที่อื่นเรียกว่าไม่มีคนเลยครับ เพราะมันเยอะแบบหยุมหยิมมาก หรือตามความรู้สึกผมมันคือน้อยครับ



น้ำตกก็ไม่ได้สวยอะไรมากมาย แต่มีแหล่งให้เล่นน้ำเยอะ เหมาะกับการมาปิกนิกกับครอบครัวมากกว่าจะมาชมความสวยงาม มาเล่นน้ำที่นี่จัดว่าเหมาะมากๆ เพราะมีที่เล่นน้ำอย่างเหลือเฟือ ทั้งแบบส่วนตัวและเล่นรวม เดินหาได้ตามสบายเลย



ร้านอาหารที่นี่ไม่ได้จัดว่าอร่อย แต่จัดว่าโคตรถูก ผมสั่งข้าวผัดจานนึง 25 บาท บ้าไปแล้ว นี่มันสถานที่ท่องเที่ยวนะ สั่งข้าวจานละ 25 บาท ราคานี้หานอกจากโรงอาหารตามมหาวิทยาลัย และข้าวไข่เจียวบางที่แล้ว ยังไม่เคยเจอที่ไหนขายราคานี้ได้เลยจริงๆ

สำหรับน้ำตกตาลโตนนั้น สำหรับผม ถ้าจะมาเที่ยวชัยภูมิก็แวะมาได้ และก็เลือกน้ำตกนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกพักผ่อน จริงๆ ชัยภูมิมีที่เที่ยวอีกเยอะในระแวกนี้ อาทิตย์นี้ผมไปเที่ยวไม่กี่ที่ ที่จริงจังหน่อยก็ที่นี่ที่เดียว (ขนาดจริงจังแล้วนะ)

ก็นี่แหละครับ เป็นทริปที่ไม่ได้วางแผน จริงๆ แอบคิดว่าถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้ผมจะขึ้นไปมอหินขาว แล้วนะครับ แต่ติดที่ว่าต้องรีบกลับไปสอนต่อตอนเย็น ไม่งั้นนะ ไม่รอดหรอก ไว้เจอกันคราวหน้าแล้วกัน มอหินขาว


วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 43 ตอน จักรยานหาย

วันนี้ขอมีสาระวันนึง จะมาเล่าเรื่องจักรยานตัวเองที่เพิ่งหายไปเมื่อหลายเดือนก่อน เอาไว้เป็นอุทาหรสำหรับคนที่คิดจะซื้อจักรยานเอาไว้ขี่เล่นในกรุงเทพช่วงที่ถนนโล่งๆ แบบนี้

ผมเป็นคนที่ชอบขี่จักรยานมาซักพักแล้วครับ ตั้งแต่สมัยเรียนก็ชอบขี่จักรยานเล่นในมหาลัยประจำ ดังนั้นจักรยานกับผมแทบจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตซึ่งกันและกันไปแล้ว

จริงๆ ถ้าย้อนไปสมัยเรียนมัธยม ผมก็เคยขี่จักรยานไปโรงเรียน เป็นจักรยานถูกๆ ที่ได้มาเพราะการจับฉลากปีใหม่ของโรงเรียน วันนั้นแค่ตื่นสาย มาไม่ทันรถรับส่ง ซึ่งก็คือพ่อนั่นเอง ผมก็ไม่อย่ากให้พ่อหรือคนอื่นรอ เลยบอกให้เค้าไปกันก่อน เดี๋ยวผมจะตามไปเอง

ปกติถ้าผมสาย ก็จะให้ปู่ขับเรื่อไปส่ง แล้วก็นั่งรถเมล์ตามไป แต่วันนั้นผมไม่ได้สายมาก คือสายนิดเดียว หลังจากพ่อไปได้ 10 นาทีผมก็แต่งตัวเสร็จ ก็เลยเนียนๆ ไม่บอกปู่ พร้อมกับปั่นจักรยานออกมาเลย โดยไม่มีใครรู้ แม้แต่พ่อก็ไม่รู้ ปู่ก็ไม่สงสัย เพราะผมจะขี่จักรยานจากบ้านไปปลายนาเพื่อขึ้นรถอยู่แล้ว เวลาก็ไม่เลทมาก ผมจึงจัดไปซะ

ผมไม่แน่ใจนะว่าจากบ้านไปโรงเรียนมันกี่กิโล แต่ผมเคยจำคำเพื่อนตอนประถมว่า ถ้าขี่จากบ้านระกาศไปบางบ่อมันจะเมื่อยมาก (ประถมผมเรียนบ้านระกาศ มัธยมผมเรียนบางบ่อ) แต่บ้านผมอยู่บางพลี ที่ไกลกว่าบ้านระกาศ และต้องเข้าซอยไปในระยะทางที่พอๆ กับระยะทางตรงปากถนนใหญ่จากบางพลีไปบางบ่อ

ผมไม่รู้ว่ากี่กิโล แต่จากการคาดคะเน ไม่น่าต่ำกว่า 10 กิโล เผลอๆ น่าจะเกือบถึง 20 กิโลด้วยซ้ำ คือคนดีๆ เค้าไม่น่าจะเอาจักรยานแบบนี้มาปั่นกัน ผมก็ไม่รู้ปั่นได้ไง มันบ้ามากจริงๆ แต่ก็สนุกดี ชิวมากวันนั้น ผมไม่เชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะปั่นถึง

พอไปโรงเรียน แทบไม่มีใครเชื่อว่าจะปั่นมาจริงๆ เพราะมันไกลมาก จนมันเห็นจักรยานนั้นแหละ มันจึงเชื่อ ไม่แถมไม่ใช่แค่เห็นนะ ไอ้พวกนี้มันยังใจดี ทำป้ายทะเบียนติดหลังจักรยานให้อีก แสบจริงๆ 555

เดี๋ยวนะ ผมจั่วหัวว่าจะเขียนเรื่องจักรยานหาย แต่ไหงกลายมาพูดเรื่องนี้ไปได้เนี่ย 555

แต่ก็ช่างเหอะ เดี๋ยวมีอารมณ์ จะกลับมาเขียนเรื่องจักรยานอีก มันยังไม่จบแค่นี้ เหมือนเรื่องบาสแหละ มันยังไม่จบแค่นี้ 555

เจอกันวันพรุ่งนี้ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 42 ตอน ต้นไม้ทำให้อากาศหนาว

ในค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวคืนหนึ่ง มีบุรุษหนุ่ม 2 คนนั่งซ้อนมอเตอร์ไซต์กลับบ้านเข้าไปในซอยเปลี่ยว ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากันอย่างเมามัน แต่แล้วก็มีลมพัดผ่านมา จนทำให้ทั้งสองคนตะลึกงัน ทั้งสองคนมองหน้ากันไม่ได้ แต่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ยิ่งขี่ไป ยิ่งวูบไป ทั้งสองคนขนลุกซู่ ลุกไปยันขนหน้าแข้ง

ช่วงนี้อากาศหนาวนะครับ หนาวมาก โดยเฉพาะผมด้วยแล้วที่ต้องกลับบ้านดึกๆ แทบทุกวัน เที่ยงคืนถ้าถึงบ้านนี่ถือว่ากลับบ้านเร็วแล้ว และพาหนะหลักของผมคือมอเตอร์ไซต์เวฟสีขาวน้ำเงินคันงาม

ทุกวันผมจะต้องขี่ผ่านทางเดิมๆ ซึ่งทางเดิมๆ ของผมจะมีช่วงที่เป็นป่า และช่วงป่าเนี่ยแหละที่ต้องบอกเลยว่า มันหนาวมาก หนาวจริงๆ หนาวเหมือนกับว่ามีใครเปิดพัดลม จากปกติจ่อกันเบอร์หนึ่ง แล้วเร่งขึ้นไปเบอร์ 3 อย่างฉับพลัน

ต้นไม้ทำให้อากาศหนาว
ตึกรามบ้านช่องทำให้อากาศร้อน

ใครไม่เชื่อ ลองไปพิสูจน์ครับ ไม่ต้องดึกอย่างผมก็ได้ เอาหัวค่ำ 3-4 ทุ่ม ลองไปวิ่งเส้นเรียบทางด่วนรามอินทราด้วยรถมอเตอร์ไซต์นะครับ ลองดู แนะนำเลย แล้วคุณจะรู้ว่า อากาศแบบยอดภูกระดึงมันมีอยู่จริงที่กรุงเทพของเราเนี่ยแหละ

วันนี้สันๆ นะครับ ง่วงแล้ว 555

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 41 ตอน ไปดูบ้านตอนดึก

หลังจากที่เรากำลังจะกลับบ้าน จากการนัดปกติที่เจอกันเป็นประจำ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เจ้าต้นก็มีความคิดขึ้นมาว่าอยากจะเช่าบ้าน จริงๆ มันคิดกันไว้ก่อนแล้วว่าจะเช่าบ้าน โดยมีคนอยู่หลัก แล้วคนอื่นจะเป็นคนแวะไปแวะมา เพื่อจะได้มีที่นัดเจอกันเป็นหลักเป็นแหล่งซักที

หลังจากที่เราเจอกันเสร็จ เราก็คุยกันว่า เที่ยงคืนเราจะออกไปดูบ้านที่เราดูกันไว้แล้ว จากข้อมูลบอกว่าทำเลดีมาก ห่างจากรถไฟใต้ดินประมาณ 500 เมตร

เที่ยงคื่นผ่านไป พี่แทนก็ยังคงทำเว็บอยู่
เที่ยงคืนผ่านไป พี่ตองก็กำลังเรียนอะไรไม่รู้อยู่กับไอ้ต้น
เที่ยงคืนผ่านไป พี่ทีมก็นั่งทำอะไรอยู่หน้าคอม
เที่ยงคืนผ่านไป ผมก็นั่งเล่นฟิฟ่าอย่างสบายใจ

เหมือนกับว่า เรานัดกันเที่ยงคืนจะไม่มีผลอะไรกับเราเลย
เวลาเที่ยงคืนไม่ได้กระตุ้นเราเลย
เที่ยงคืนแล้วจะทำไม ก็ยังไม่อยากออกไปไหน 555

คือบ้านที่เราจะไปดูเนี่ย ต้นสปอยไว้โดยการเอารูปมาให้ดูว่า ชั้นล่างค่อนข้างโล่ง สามารถทำอะไรได้เยอะแยะ และการอยู่ด้วยกันหมายถึงการแชร์ค่าน้ำ ค่าไฟ แถมตู้เย็น ไมโครเวฟ ทีวี ก็แชร์ด้วยกัน มีแต่ได้กับได้ ไม่มีเสียอะไรเลย

และเราก็ขับรถไปดูตามแผนที่ ปรากฎว่า ไม่เจอครับ บ้าไปแล้ว ขับรถวนจนทั่วหมู่บ้าน ไม่เห็นมีบ้านที่เหมือนกับในรูปเลยซักหลัง เจอประตู้ไม้ แต่หลังใหญ่โคตร
บางบ้านประตูไม้ แต่โคตรโทรม ไม่มีหลังไหนเข้าสเป็กเลย
เราจึงสรุปกันว่า กลับเหอะ ไว้มาดูวันหลัง

จริงๆ ก็ไม่ควรจะมาดูตอนหลางคืนอยู่แล้วหรือเปล่าครับ คือตี 1 ถึงหลงก็จะไปโทรถามเจ้าของบ้านเหรอ ได้โดนด่ากลับมาดิ

สุดท้าย เราคงได้แชร์บ้านกันซักหลัง อยู่ที่ว่าหลังไหน
การมีบ้าน ก็เหมือนมีที่สังสรรค์ ลดค่าใช้จ่ายลงไปได้เยอะ

ขอให้โชคดีครับ

(และพี่เสือก็ยังไม่มาเขียนเรื่องบาส)

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 40 ตอน ความขี้เกียจก็ยังถามหา

เวลาขี้เกียจนี่มันขี้เกียจจริงๆ นะครับ
งานน่ะมี แต่โคตรขี้เกียจ
ตื่นเวลาปกติ แต่ขี้เกียจกว่าปกติ
วันวันไม่อยากทำไร เพราะมันขี้เกียจ

วันนี้มีโอกาสได้ไปดูหนังระดับรางวัลเต็มตู้อย่าง 12 year slave
เป็นหนังของคนผิวดำที่เป็น ไท แต่โดนมอมเหล้า แล้วโดนลักพาตัวไปขายเป็นทาส
ตัวหนังไม่มีอะไรเลยครับ ธีมหนังก็แค่นั้นแหละ เขาเล่าเรื่องจริงของหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัวไปเป็นทาสถึง 12 ปี ทั้งที่ตัวเองเป็นไท แล้ว มีหน้าที่การงานใหญ่โต บ้านหลังเบ้อเร่อ

พอเห็นชีวิตความรำบากของเค้าแล้วรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที
รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่เกิดมาในยุคนี้
ยุคที่ไม่มีการแบ่งชนชั้นชัดเจน
ถึงแม้ว่าการแบ่งชนชั้นจริงๆ จะยังอยู่ก็ตาม แต่ไม่ชัดเจนเหมือนสมัยก่อน

ยุคที่ระบบทาส เฟื่องฟู มันเป็นยุคที่ไม่อาจจะกลับไปนึกถึงได้เลย
มันหดหู่มาก คิดง่ายๆ ครับ

ทุกวันนี้เราก็ทำงานเยี่ยงทาส แต่อย่างน้อยเราก็ได้เงิน
เราไม่พอใจเราก็ยื่นซองขาว แล้วไปเป็นทาสให้กับที่ใหม่
ชีวิตมีอิสระกว่าทาสมัยก่อนเยอะ
หดหู่น้อยกว่าเยอะ

ทาสสมัยก่อนนี่ชีวิตสิ้นหวังมากเลยนะครับ
คือจะรวมตัวกบฏก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่า ถ้าทำแล้ว พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน
วันๆ ได้แต่ทำงาน แลกข้าว ไม่มีอิสรภาพ ชีวิตถูกคนกลุ่มหนึ่งซื้อไป
มันช่างไม่สุนทรีย์เลยจริงๆ

ใครมีโอกาสก็แนะนำลองไปดูครับ 12 year slave
ถึงแม้ว่าหนังจะไม่เป็นที่ถูกใจคนดูหนัง
แต่เข้าไปดู แล้วเราจะได้รู้ว่า โชคดีขนาดไหนแล้วที่เราเกิดมาในยุคที่เลิกทาสแล้ว...

..........สวัสดี..........

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 39 ตอน ก่อนที่ความขี้เกียจจะครอบงำ

หายไปสามวัน วันนี้ได้ฤกษ์กลับมาเพื่อเขียนอะไรนิดๆ หน่อยๆ
ก่อนที่ความขี้เกียจจะครอบงำ

หลายครั้งเลยที่ผมทำอะไรแล้วทำไม่เสร็จ เพราะโดน
ความขี้เกียจมาครอบงำ

โปรเจ็คนี้เหมือนกัน ผมก็มีอารมณ์ขี้เกียจบ่อยครั้ง แต่ก็ฝืนตัวเองลุกขึ้นมาเขียนได้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะกลับบ้านดึกขนาดไหนก็ตาม เพราะว่าดันสร้างวินัยให้ตัวเองต้องเขียนทุกวัน

แต่แล้วอยู่มาวันนึง
ความขี้เกียจมาครอบงำ

กลับบ้านตีสี่ ดันขี้เกียจเขียนซะงั้น เลยไม่ได้เขียนเลย
พอมีความขี้เกียจวันแรก
ความขี้เกียจก็ตามมาวันที่สอง
และวันที่สามก็ติดโรคขี้เกียจอีกตามๆ กันมา
โรคขี้เกียจมันน่ากลัวเหลือเกิน
อย่าให้ความขี้เกียจมาครอบงำนะครับ

ความขี้เกียจมันเป็นโรคที่ถ้าเป็นแล้ว จะเป็นติดต่อกันหลายวัน
พอได้เริ่มขี้เกียจ แล้วมันจะขี้เกียจไปเรื่อย

เรามาสร้างนิสัยขยันกันเถอะ
ลุกขึ้นมา
ทำอะไรก็ได้
อยากขี้เกียจจจจ
ไอ้เสือ

ปล.พรุ่งนี้จะกลับมาเขียนเรื่องบาสต่อให้จบนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 35 ตอน เล่าเรื่องฟุตบอลในวัยเด็กเล็ก

วันนี้ขอพักเรื่องบาส 1 วันแล้วกันนะครับ ผมรู้สึกเอียนยังไงไม่รู้ เหมือนแบบว่าขี้โกง ยืดเรื่องบาสไปหลายตอนเพื่อที่จะได้มีเรื่องเขียน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่นะ เพราะว่าบาสมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสมัยมัธยมจริงๆ คือตอนมัธยม ถ้าผมหายตัวไป ไม่ต้องหาไกล อยู่สนามบาสนั่นแหละ

ที่จะเล่าเรื่องบอล เพราะวันนี้เพิ่งเตะบอลมา และก็นึกได้ว่า ตัวเองเคยมีความฝันอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องฟุตบอลเหมือนกัน เป็นความฝันในวัยเด็ก เด็กมากๆ ด้วย สมัยวัยกระเตาะ เด็กประถม เล่นบอลทุกวัน

ถ้าเปรียบมัธยมเป็นวิถีนักบาส ตอนประถมเรียกว่าวิถีนักบอลเลยก็ได้



ตอนประถมผมอยู่สองโรงเรียน ตั้งแต่อนุบาลถึง ป.2 ผมอยู่โรงเรียนวัดบางนางเพ็ง และหลังจากนั้นผมก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนชุมชนวัดบ้านระกาศ และตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ทั้งสองโรงเรียน ช่วงพักกลางวันผมก็จะวนเวียนอยู่แต่ในสนามบอล อยู่บางนางเพ็งก็เล่นบอลกับพวกรุ่นพี่ ป.4 5 6
มาอยู่บ้านระกาศ ก็ชวนเพื่อนเล่นบอลทุกวัน

และผมเนี่ยมันชอบบ้า พ่อซื้อลูกบอลให้เตะตั้งแต่เด็กๆ 
ที่บ้านเนี่ยมีทุกไซส์ ตั้งแต่เล็กไปเลย บอลพลาสติก ลูกขนาดฟุตซอลแต่อัดลมเหมือนลูกฟุตบอล จนถึงลูกฟุตบอลมาตรฐาน เรียกว่าที่บ้านเนี่ยมีลูกฟุตบอล 4 - 5 ลูกได้ และผมเป็นบ้านสวน ดังนั้นสังเวียนแข้งผมก็ ในบ้านนั่นแหละ 555

และที่บ้านผมไม่มีใครเล่นบอลเลยซักคน ผมก็เล่นคนเดียวซิครับ ผมมันพวกจินตนาการสูงด้วย ไม่มีปัญหา วิธีการก็ง่ายมาก เอาเก้าอี้มาตั้ง ตัวนึง แล้วก็เตะให้เข้าขาเก้าอี้

ที่ผมใช้เก้าอี้ตัวเดียวเพราะตอนเด็กๆ ผมชอบดูรายการเจาะสนามของ ย.โย่ง แล้วตอนนั้นเค้าพาไปทัวร์สโมสรลิเวอร์พูล และการฝึกกองหน้าของลิเวอร์พูลคือให้เตะอัดกำแพง ผมดูไม่ชัดหรอกว่ากำแพงเป็นแบบไหน เตะอัดยังไง 
ผมดูแล้วก็คิดไปเองว่า เค้าเตะอัดสันกำแพง

นึกถึงกำแพงไม้ครับ จะมีด้านที่เป็นหน้ากำแพงที่ใหญ่ๆ กว้างๆ และจะมีอีกด้านนึงที่เป็นสัน เล็กๆ นั่นแหละครับ ผมไปคิดว่ากองหน้าลิเวอร์พูลต้องเตะอัดสันกำแพง ไม่รู้ว่าโง่หรือบ้า ผมจึงเอามาเป็นแบบฝึกให้ตัวเองว่า ถ้าจะเป็นดาวยิง ต้องตั้งเป้าหมายให้เล็กที่สุด ผมจึงเลือกใช้เก้าอี้ตัวเดียวเป็นโกล

และตอนนั้น พ่อก็ชอบดูบอล ทั้งบอลไทย บอลพรีเมียร์ลีก คือบอลไทยไม่เท่าไหร่ เตะเวลาปกติ เย็นๆ แต่บอลพรีเมียร์เนี่ย ปกติผมก็ไม่ได้ดูหรอกตอนนั้น แต่พ่อชอบปลุกประจำ ตีหนึ่งตีสอง ปลุกตลอด ให้ขึ้นมาดูเป็นเพื่อน ผมก็อะ ดูก็ดู

ดังนั้น ผมจึงได้ยินเสียงของคนพากประจำ และตอนผมเล่น ผมก็จะคิดว่าเสาบ้านเป็นกองหลังฝั่งตรงข้าม จะมีไขว้หลอก แตะหลบ แตะบอลไปทางแล้วอ้อมไปรับอีกทาง บางทีก็เตะชิ่งกำแพงเหมือนกับการทำชิ่งกับเพื่อนในทีม หลบซ้ายทีขวาที 
และระหว่างเลี้ยง ผมก็จะพากตัวเองไปด้วย 

"เอาแล้วครับ พีรพัฒน์ได้บอล ทำชิ่งหนึ่งสองกับเพื่อนร่วมทีม 
พีรพัฒน์เลี้ยงไปแล้วครับ เจอกองหลังฝั่งตรงข้าม 
พีรพัฒน์แตะหลบไปได้สวยมากครับลูกนี้ 
ตอนนี้พีรพัฒน์หลุดไปได้แล้วครับ
พีรพัฒน์ดวลเดี่ยวกับผู้รักษาประตู พีรพัฒน์ทำไงครับ
พีรพัฒน์ยิงสวนเข้าไป...โอ้ววววววว สุดยอดมากครับ ช่างเป็นลูกยิงที่สวยงามอะไรเช่นนี้"

นั่นแหละครับ ความบ้าในวัยเด็กของผม

จบก่อน เดี๋ยวมีอารมณ์ อาจจะมาเล่าเรื่องฟุตบอลในวัยเด็กต่อ บอกได้เลยว่าเรื่องเยอะไม่แพ้เรื่องบาส แต่อาจจะนานๆ หน่อยนะ วันนี้ที่เขียนเพราะไม่อยากเขียนเรื่องบาสหลายๆ ตอนติดกัน กลัวจะเอียน 555


วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 34 ตอน นักบาสโรงเรียน #4

ความดุเดือดมันเริ่มตั้งแต่วันนี้แหละ

ทันทีที่พวกพี่ๆ สีม่วงขึ้นไปอยู่ ม.ปลาย เค้าก็เป็นตัวหลักให้กับสีของเค้าเลยทันที ทีนี้จากสีม่วง เค้าได้ย้ายฟากไปอยู่สีเหลือง ส่วนผมพอขึ้น ม.ปลาย ก็ได้อยู่สีฟ้าเหมือนเดิม

ช่วงผม ม.4 พี่เค้า ม.5 เหมือนเป็นช่วงเวลาแห่งการบ่มเพาะ เวลานั้นบาส ม.ปลายมีการแข่งขันที่สูงมาก ทั้งสีแดงที่ครองแชมป์ ม.ปลายมาหลายสมัย สีฟ้าที่มีตัวจี้ดๆ เยอะแยะมากมาย และจากการที่พี่กลุ่มนี้ขึ้น ม.ปลาย ทำให้สีเหลืองเป็นอีกสีที่น่ากลัวในบาสกีฬาสี

ความเข้มข้นนั้นโปรดลืมไปเถอะ เพราะผมไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย และตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นสีแดงที่มาแรงแซงคว้าแชมป์ไปในที่สุด และถ้าจำไม่ผิดอีกก็เหมือนจะชิงกับสีเหลืองที่มีพี่ๆ เหล่านั้นอยู่นั่นแหละ

ตอนขึ้น ม.ปลาย พวกเราไม่เหมือนก่อนแล้ว มีตัวที่แข็งแกร่งมากขึ้น จะขอพูดถึงทีมสีเหลืองก่อน

สีเหลือง จากที่เคยมีตัวหลักอย่างวัต ชัต วุธ จุ๊ กานต์ และพอขึ้น ม.ปลายก็ได้กำลังเสริมชั้นดีมาอีกสองคน คือ




หนุย การ์ดจ่าย ผู้มีความคล่องแคล่วในการถือบอล แย่งยาก แถมยังแม่นอีก เดิมทีทีมนี้ไม่มีการ์ดจ่ายหลักๆ แต่พอได้พี่หนุยเข้ามา เรียกว่าเสริมเขี้ยวเล็บได้พอสมควร ทำให้สามารถเข้าชิงได้ตั้งแต่ยังอยู่ ม.4



อ๊อฟ เป็นชูตเตอร์ มีความแม่นยำสูง ทั้งระยะกลางและระยะไกล พี่อ๊อฟเข้ามาแทนพี่แว่นที่ไปใส่ใจเรื่องเรียนมากขึ้น และหันไปเอาดีทางด้านยูโด

เรียกว่าเขี้ยวเล็บสองคนนี้ที่เข้ามา ทำให้สีเหลืองเป็นสีที่น่ากลัวอย่างมากสำหรับหลายๆ สี

มาทางฝั่งสีฟ้าของผมก็ไม่ธรรมดา มี 2 ตัวมาใหม่ และทดแทนด้วยการขาดหายไปของ 2 ตัวเก่า



สิง คนนี้รู้ร่างนักกีฬาโดยแท้ มีพื้นฐานวอลเลย์ แม้ว่าตัวจะสูงพอๆ กับนพ แต่การกระโดดเรียกว่าสูงมาก มาเป็นเซ็นเตอร์ตัวที่สองในทีม และเมื่อสิงเข้ามา ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า ทีมเราเล่นแผนโดยใช้เซ็นเตอร์สองตัว ปีกสามตัวไปเลย ไม่เคยเห็นเหมือนกันว่ามีทีมไหนเล่นแบบนีั



โอด คนนี้เข้ามาเป็นปีกอีกคนหนึ่ง มีความเร็วเป็นเลิศ เรียกว่าเร็วที่สุดในสนามแล้ว มาช่วยเรื่องจังหวะฟาสเบรค มีความแข็งแกร่งสูง ได้โอดเข้ามานี่ทำให้ทีมเราดูเล่นแล้วพอสูสีกับสีอื่นๆ ที่มีอยู่ตอนนั้น

สองคนนี้ม่แทนที่ของอูมกับแอ้ ที่ต้องย้ายโรงเรียนไป และพอได้สองคนนี้มา ทีมเราลงตัวมากๆ

และพอขึ้น ม.4 เราก็ยังไม่ค่อยได้เป็นตัวหลักของสีมากนัก เพราะว่ามีพี่ ม.6 ที่เค้าเล่นด้วยกันอยู่ แต่เราก็ได้ลงเล่นบ้างแต่ไม่มาก ตอนนั้นสีเราก็ได้แชมป์กีฬาสี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอินมาก เพราะไฮไลท์มันไม่ได้อยู่ที่ตอนนี้ ไฮไลท์มันอยู่ที่หลังจากนี้ เมื่อพวกเราขึ้นมาเป็นตัวหลักเต็มตัว...

ติดตามตอนต่อไปพรุ่งนี้ครับ
เป็นตอนที่เรียกว่า อินสุดๆ ทั้งโรงเรียนต้องหยุดดู
กีฬาทุกชนิดต้องหยุดแข่ง
รอบสนามไม่มีที่ยืน จนต้องไปยืนดูบนตึก4
เป็นที่กล่าวขวัญถึง แม้แต่ตอนที่ผมจบออกไปแล้ว

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 33 ตอน นักบาสโรงเรียน #3

และนัดชี้ชะตาระหว่างสีฟ้ากับสีม่วงกำลังจะเริ่มขึ้น
พวกผมกลับได้รับข่าวดีอะไรบางอย่างคือ ในเวลาที่มีแข่งบาสนั้น สีม่วงยังต้องแบ่งคนไปแข่งวอลเลย์บอล ฟุตบอล และบาสเก็ตบอลในเวลาเดียวกัน และพี่วัตแห่งสีม่วง ก็เป็นหนึ่งในหลายคนที่ลงไปหลายชนิดกีฬา เวลานั้นผมคิดว่า 

ตัวหลักหายไปคนนึง งานคงเบาลงหน่อยล่ะว่ะ

แต่ผมคิดผิด

ทีมสีม่วงกลับมาจัดเต็มกับกีฬาบาส เรียกว่าตัวหลักอยู่ครบทั้งวัต วุธ ชัต จุ๊และกาน เรียกว่ามากันฟูลทีมเลยทีเดียว ไม่มีการผ่อนให้กับมือใหม่หัดเล่นบาสอย่างพวกผมบ้างเลย ผมก็ถือว่าเป็นเกียรติครับ ที่พี่ๆ ได้จัดเต็มให้ชุดใหญ่ขนาดนี้



แต่ไม่เป็นไรครับ เราซ้อมตั้งรับการประกบตัวแบบหนึ่งต่อหนึ่งมาอย่างดี แมทนี้คงไม่มีปัญหาเรื่องการประกบตัวเท่าไหร่ เราคงจะผ่านไปได้ เหลือเรื่องการทำแต้ม

นั่นเป็นเสียงปลอบใจกันเองก่อนเกมจะเริ่มขึ้นครับ

และวินาทีที่เสียงนกหวีดเริ่มการแข่งขันดังขึ้น เปิดเกมมาด้วยแต้มแรกจากผมด้วยลูกฟาสเบรคจากการโยนยาวของนพหรือเอ็มจำไม่ได้ และผมก็จัดการเลย์อัพเข้าไปด้วยท่าถนัด

แต่หลังจากนั้นน่ะเหรอ...หึหึ...พูดได้คำเดียวว่า...

ยับ

เรียกว่าเกมแรกอย่างเป็นทางการ ก็โดนรับน้องไปอย่างโหด สกอร์เท่าไหร่จำไม่ได้ แต่ทีมผมทำได้ประมาณ 8 หรือ 9 แต้มมั้ง โดยมีนพเป็นตัวทำแต้มหลัก ผมเหรอ นอกจากลูกแรกแล้ว หลังจากนั้นแทบทำอะไรไม่ได้เลย อย่างมากได้แค่แย่งบอล แย่งรีบาวได้บ้าง แต่สกอร์อยู่นึ่ง

ทั้งเกมผมโดนพี่จุ๊กับพี่กาน ผลัดกันมาประกบผม เรียกว่าเจอการประกบตัวต่อตัวของจริง สิ่งที่ซ้อมมาแทบทำอะไรไม่ได้เลยกับสถานการณ์จริง พยายามส่งซิกว่า... 

เห้ย... สกรีน
เห้ย... พาตัวประกบ
เห้ย... รีบาว

แต่จำได้ว่า มันสู้ไม่ได้เลยจริงๆ หมดปัญญาจริงๆ ทำทุกอย่างที่ซ้อมแล้ว แต่มือใหม่ยังไงก็เป็นมือใหม่ สู้ไม่ได้เลยไม่ว่าจะทำยังไง มันหมดทางสู้จริงๆ

และที่น่าเจ็บใจก็คือ หลังจากจบครึ่งแรก พี่วัตกับพี่วุธต่างแยกย้ายไปเล่นฟุตบอลกับวอลเลย์ โดยทิ้งตัวสำรองไว้สู้กับเราอย่างไม่ใยดี พี่ก็ช่างทำกันได้เนอะ 555

แต่เกมมันขาดจริงๆ ถึงแม้เป็นตัวสำรอง แต่รู้เลยว่าสำรองสีม่วงนี่เล่นเป็นกันทุกคน อย่างน้อยก็ทำให้เราทำอะไรไม่ได้เลย จบเกมไปอย่างเละเทะ สู้ไม่ได้เลยจริงๆ แค้นสุดๆ ซ้อมมาตั้งนาน มาตายเอาตั้งแต่ด่านแรก ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ แสบจริงๆ แค้นมากเลยตอนนั้น

แต่หลังจากนั้น เราสองห้องก็เป็นเพื่อนกันเลยนะครับ แก้งเราสีฟ้ากับแก้งสีม่วง เรียกว่าสนิทกันเลย หลังจากนั้นเรียกได้ว่า เราเล่นบาสกันทุกเช้า กลางวัน เย็น เล่นกับสีม่วงพวกนี้นั่นแหละ

ปีต่อมาตอนเราอยู่ ม.3 เราขอไม่เล่าแล้วกัน เพราะว่าเราก็สามารถคว้าแชมป์กีฬาสีมาได้อย่างชิวๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะเราเล่นบาสกันทุกวัน ส่วนสีอื่นนี่ไม่เคยซ้อม ไม่เคยเล่นกันเลย มันจึงเป็นงานที่ชิวมากๆ

สำหรับตอนนี้ก็จบไปด้วยความแค้น นี่เล่ามาสามตอนยังไม่มีอะไรเข้าใกล้คำว่านักบาสโรงเรียนเลยนะครับเนี่ย 555

วันนี้ขอจบไปด้วยความแค้นต่อสีม่วง ตอนหน้า พวกเราสีฟ้าจะไปพบกับพี่สีม่วงที่ตอนนี้ไปอยู่ ม.ปลายที่คณะสีเหลือง บอกเลยว่า ตอน ม.ปลายมันเข้มข้นกว่านี้เยอะ อันนี้แค่น้ำจิ้ม (ปาเข้าไปสามตอน)

แล้วจะรู้เลยว่า นัดหยุดโลกเป็นยังไง ตามได้ในตอนสุดท้ายครับ(ยังไม่ใช่ตอนหน้านะ)

เรื่องสนามบาสเนี่ย มีเรื่องเล่าอย่างเยอะ เพราะชีวิต ม.ปลายส่วนใหญ่อยู่ที่สนามบาสเลยก็ว่าได้

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 32 ตอน นักบาสโรงเรียน #2

ทิ้งท้ายในตอนที่แล้วว่าเราเจอแชมป์เก่า...

นึกภาพวินาทีที่เรารู้ว่าเราเจอแชมป์เก่าครับ
ตอนนั้นอยู่ ม.2
ซ้อมทีมมาร่วมเดือน
เพิ่งแข่งชนะพี่ ม.ปลาย
แล้วดันจับฉลากมาเจอแชมป์เก่า...

อารมณ์ตอนนั้นมันพลุ่งพล่านมากครับ แบบงงว่า ที่เราทำมาทุกวันมันจะสูญสลายเหรอ เราก็ได้แต่ปลอบใจว่า แชมป์เก่าแล้วไงว่า มีมือมีตีนเหมือนกัน เราเนี่ยแหละจะล้มแชมป์เก่า แล้วจะสถาปนาตัวเองเป็นแชมป์ใหม่...เฮ้...!!!



คือแชมป์เก่าเค้าอยู่สีม่วง มีตัวชูโรงเป็นพี่วัต ตัวทำแต้มหลัง หัวหมู่ทะลวงฟัน
พี่วุธ เป็นตัวทำแต้มรอง คอยยิงสามแต้มจากวงนอก
พี่ชัด เป็นเซ็นเตอร์ร่างยัก สุดยอดในการเล่นใต้แป้น
พี่นุ ตัวจี้ดประจำทีม มีทีเด็ดที่ความเร็ว
พี่กาน ตัวโจ้กเกอร์ ทำได้หมดทั้งแหวก ทั้งยิงวงนอก แต่อย่าให้รีบาว
พี่แว่น นักเทควันโด้ เป็น sixman ที่แม่นวงนอกมากๆ

นี่แหละ ทีมสีม่วง ที่ได้แชมป์กันตั้งแต่ตัวเองอยู่ ม.2 และปีนี้อยู่ ม.3 ก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะสามารถรักษาแชมป์ไว้ได้ โดยมาก้างขวางคอตัวใหญ่อย่างสีฟ้า ที่จะต้องเจอในรอบแรก...หึหึ

นึกถึงหน้าผมซิครับ ว่าจะเป็นยังไงเมื่อรู้ข้อมูลอย่างนี้

ผมจำได้ว่า ทีมสีม่วงเค้าจะเล่นแบบ Man to Man คือประกบตัวต่อตัว ซึ่งแตกต่างจากทีมผมที่จะเน้นตั้งโซนกันมากกว่า ดังนั้นเป็นการวัดไปเลยว่า M2M หรือ Zone ใครจะเจ๋งกว่ากัน

ระหว่างเตรียมตัว พี่พตพอรู้ว่าเราจะเจอสีม่วง ก็เคี่ยวเข็ญเรา ซ้อมอย่างหนักเพื่อรับมือการเล่นแบบ M2M ของสีม่วง ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ถึงความร้ายกาจหรอกครับ เพราะเราไม่เคยเล่นกับคนเก่งๆ อย่างนี้เลย พี่พตให้ซ้อมอะไรก็ซ้อมอย่างนั้น

ทั้งการสกรีนเอ้า, สกรีนให้คนที่ประกบมาชนกันเอง สกรีนนู่น สกรีนนี่ สารพัดจะสกรีนครับ

แถมมีการเล่น Fast Break หรือโต้กลับเร็ว ซ้อมอยู่นั่นแหละครับ ซ้อม ซ้อม ซ้อม
เรียกว่าซ้อมกันหนักมาก เพื่อเตรียมรับมือกับทีมสีม่วง เราก็มุ่งมั่นกันมากว่า เราต้องคว่ำแชมป์เก่าให้ได้ มันไม่มีทางเลือกอื่น เราไม่สามารถยอมแพ้ได้ เราจึงต้องสู้ให้สุดความสามารถ

และเรามาดูกันว่า สุดท้ายเราจะสู้ได้แค่ไหน
ประโยคคลาสสิคที่คงได้ยินกันมาบ่อยแล้วว่า ถ้าทำเต็มที่แล้ว ถึงแพ้ก็ไม่เสียใจ

และพรุ่งนี้ ผมจะมาเล่าต่อถึงนัดชี้ชะตา ระหว่างสีฟ้ากับสีม่วง...

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 31 ตอน นักบาสโรงเรียน #1

เมื่อก่อนต้องขอโม้ก่อนว่า ผมเคยเป็นนักบาสโรงเรียน ตัวสำรองลำดับท้ายๆ ที่แบบว่า ถ้าเกมไม่ขาดหรือหรือเป็นช่วงต้นเกม อย่าหวังว่าจะได้ลง เตี้ยก็เตี้ย ชูตก็ไม่แม่นเท่าไหร่ ดีอย่างเดียวที่กระโดดสูง พอจะแย่งรีบาวกับเพื่อนในทีมที่สูงๆ ได้บ้าง แต่การไปแย่งรีบาวกับเซ็นเตอร์โรงเรียนอื่นนี่ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย



แรกเริ่มเดิมที ผมก็ไม่ได้คิดจะเข้าวงการบาสเก็ตบอลหรอก มันมีที่มาจากว่า ตอน ม.2 ระหว่างหานักกีฬาในงานกีฬาสี พวกผมเป็นรุ่นน้อง ครั้นจะไปแย่งกีฬาที่อยากเล่นอย่างฟุตบอลก็ขี้เกียจไปแย่งกับพี่ ม.3 และเด็กห้องอื่น และทีแรกก็ไม่ได้เล่นอะไร ก็มีพี่พต เป็นพี่ ม.4 ที่เค้าเป็นคนคุมทีมบาส อยู่ดีๆ ก็เดินมาชวนพวกผมซะงั้น ไม่รู้ไปรู้จักกันตอนไหน และกีฬาบาสก็เป็นกีฬาที่ไม่ค่อยมีใครเล่น ผมก็โอเค เล่นก็เล่น และก็มีพี่พตเป็นโค้ชสอนให้ตั้งแต่เริ่ม

พูดก็พูดเถอะ อย่าว่าแต่เล่นบาสเลย ลูกบาสเนี่ยไม่เคยจับเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พวกผมก็ไม่ซีเรียส เพราะเชื่อมั่นในโค้ชอย่างพี่พต โดยมีลูกทีมที่พอดีเหลือเกินอย่าง ผม เอ็ม นพ แอ้ อูม จริงๆ มีนรินทร์อีกคน แต่นรินทร์ไม่ค่อยสนใจกีฬาเท่าไหร่ จึงขอนับเป็น 5 คนพอดีทีมไปก่อนแล้วกัน

และจำตัวละครเอ็ม นพ และก็ผมไว้ให้ดี เพราะจะมีบทบาทในตอนต่อๆ ไป

และ 5 คนนี้วันแรกก็ลงทีมกันเลย จับลูกบาส เลี้ยงๆ และก็วางตำแหน่งกันเรียบร้อย โดยมี
เอ็ม เป็นเซ็นเตอร์ มีหน้าทีคอยรีบาว และทำแต้มใต้แป้น
นพ เป็นการ์ดจ่าย คอยถือบอล คุมเกม และเป็นตัวทำแต้มหลัก
ผม เป็นฟอร์เวิร์ด หรือกองหน้า เป็นคนประกบการ์ดจ่ายฝั่งตรงข้าม และวิ่งอย่างเร็วเพื่อรอลูกโต้กลับ

ส่วนแอ้กับอูม ผมไม่ค่อยมั่นใจในตำแหน่งของสองคนนี้มากนัก แต่จำได้คร่าวๆ ว่าอูมจะเล่นตำแหน่งคล้ายผม และแอ้ จะเล่นตำแหน่งเดียวกับนพ เป็นคนคอยซับพอร์ตเอ็ม ช่วยเอ็มรีบาว เพราะแอ้เป็นคนตัวใหญ่ คอยเบียด คอยกระแทกอะไรได้

จริงๆ พวกเราพื้นเพเป็นพวกเด็กติดเกม เกมประจำที่เล่นตอนนั้นเป็นเค้าเตอร์ เกมยิงกันสุดฮิตในสมัยนั้น เช้า กลางวัน เย็น เราก็จะเล่นเกมกันเสมอ แอบเล่นในห้องคอม แต่หลังจากที่พี่พตแนะนำให้เรารู้จักกับลูกบาส หลังจากนั้นทุกเย็น เราจะมีนัดกันที่สนามบาส เพื่อเล่นบาสกันทุกวัน

โดยเฉพาะผม เอ็ม และนพนี่จะสนิทกันมาก บางทีเราจะเล่นเกมผู้จัดการทีมฟุตบอลเครื่องเดียวกัน โดยนั่งเล่นเซฟเดียวกัน ลีกเดียวกัน เล่นกันสามทีม คนละทีม สนุกกันมากตอนนั้น เราทั้งสามคนก็จะมีเรื่องบลั๊ฟกันตลอด ตอนที่ทีมเราเจอกันเอง เป็นอะไรที่สนุกมากๆ

มาเรื่องบาส มันมีช็อตประทับใจอย่างหนึ่งของทีมนี้ก็คือ มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากที่เราทั้ง 5 คนไปกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว เราเห็นพี่ๆ ม.ปลายเล่นบาสกันอยู่ที่สนามแบบแพ้ออก ตอนนั้นไม่รู้ว่าพวกเราเอาความกล้ามาจากไหน ไปขอพี่เค้าต่อทีมด้วย เราเล่นไปเรารู้เลยว่า พี่ๆ ม.ปลายแต่ละทีมนี่มีแต่นักบาสเซียนๆ กันทั้งนั้น เราเล่นไปมีแต่แพ้ แพ้ แล้วก็แพ้ เรียกว่าเล่นยังไงก็สู้ไม่ได้

แต่นัดท้ายๆ เราแบบไม่รู้จะทำยังไง ทุกคนแบบหน้าไม่ไหวแล้ว เล่นยังไงก็สู้ไม่ได้ เราเลยรวบรวมแรงกายแรงใจ นัดสุดท้ายแล้วเราต้องเอาชนะให้ได้ซักนัดนึง นัดนั้นจำได้ว่าเราสู้กันอย่างเต็มที่มากๆ เล่นกันแบบว่าใส่กันหมด สุดท้าย เราก็ชนะจนได้ (แม่งเขียนไม่ให้ลุ้นเลย)

และเราก็ไม่รีรอครับ เราก็เอาไปโม้กับพี่พตว่าเราชนะพี่ ม.ปลายได้แล้ว และเราก็โดนตบหัวกันคนละที พร้อมกับผลการจับฉลากบาสกีฬาสีออกมา... ผมไปเจอกับแชมป์เก่าครับ...

ตอนนั้นต้องอุทานออกมาดังๆว่า... แม่งงงงงงงงงงงงงง...
เดี๋ยวจะมาเล่าต่อวันพรุ่งนี้ครับ
และรอติดตามว่า สุดท้ายแล้ว พี่เสือเป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนได้ยังไง
โปรดติดตามตอนต่อไป

(พรุ่งนี้ครับ)
(เย้...มีเรื่องเขียนแล้ว คงได้อีกหลายตอนเลย 555 )

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 30 ตอน รถตู้

รถตู้ ไม่ใช่รถเมล์ จะได้มีรถรับส่งหลายคัน
รถตู้ ไม่ใช่รถทัวร์ จะได้ออกตามเวลา
รถตู้ ไม่ใช่รถไฟ้ฟ้า จะได้มาอย่างสม่ำเสมอ
รถตู้ ไม่ใช่รถยนต์ส่วนตัว จะได้มาวิ่งตามเส้นทางที่เราต้องการ
รถตู้ ไม่ใช่รถเมล์ รถทัวร์ รถไฟฟ้า
รถตู้ คือรถตู้

รถตู้ คือรถที่ไม่ออกตามเวลา
รถตู้ ต้องรอคนเต็มถึงจะออก
รถตู้ ถ้าคนมีเยอะเกินเราจะต้องรอ
รถตู้ ถ้าเราไม่รอ จะต้องนั่งเบียด
รถตู้ คือรถที่ขับเร็วกว่าแท็กซี่

ไม่สามารถบอกได้ว่า รถตู้กับรถแท็กซี่ รถอะไรขับแย่มากกว่ากัน แต่...
รถตู้ คือรถตู้

วันนี้เพลียเพราะรถตู้
ออกจากบ้าน 11 โมง ไปไม่ทันรถบ่ายโมงเพราะรถตู้
ออกจากบ้าน 11 โมง นั่งรอ 2 ชั่วโมงเพราะรถตู้
ออกจากบ้าน 11 โมง แต่ออกจากหมอชิตบ่าย 3 เพราะรถตู้
ออกจากบ้าน 11 โมง ถึงชัยภูมิ 2 ทุ่มเพราะรถตู้
ออกจากบ้าน 11 โมง ปกติถึงชัยภูมิ 6 โมงเย็นแต่ไม่ถึงเพราะรถตู้

วินรถตู้ดีๆ ก็มี
คนขับรถตู้ดีๆ ก็แยะ
รถตู้ที่นั่งสบายก็มีมาก
แต่วันนี้มันตรงกันข้าม

หมดแรง เบื่อ เพลีย
...จบ...

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

99 วัน 99 บทความ Day 29 ตอน ความสุขระหว่างทาง

หลังจากผ่านมาเกือบจะครบเดือนและ เรียกว่าใกล้จะ 1 ใน 3 ของ 99 บทความแล้ว บอกเลยว่าผมมีความสุขอย่างมาก ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ใครบางคนลุกขึ้นมาทำบล็อกบ้าง

น้องคนแรก ชื่อเจ้าบูม น้องคนนี้เป็นน้องที่ก็สนิทประมาณนึง เพราะอยู่ชมรมทำวารสารด้วยกัน เลยรู้จักกัน ประกอบกับอยู่หอในเหมือนกัน แต่คนละหอ ถือว่ามีจุดเชื่อมกันหลายจุดทีเดียว และเจ้าบูมนี่ก็เป็นคนนึง น่าจะเป็นคนเดียวที่แสดงตัวให้ผมรู้ว่าเข้ามาติดตามบล็อกผมอยู่เสมอ

สิ่งที่ทำให้รู้คือ บางวันผมไม่อัพบล็อก มันก็จะเป็นคนมาทวงหน้าเฟสบุค บางวันนั่งอัพอยู่ มาช้า แต่ก็ไม่ทันมัน บางทีมันมาโพสหน้าเฟสผมในระหว่างทำด้วยซ้ำ มันทำให้ผมรู้ว่า ไอ้นี่มันตามบล็อกจริง

และมันก็แอบมาคุยว่า มันเกิดแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง จากการตามอ่านบล็อกผม หรือว่าโครงการ 99 วัน 99 บทความของผม พอถามไปก็ไม่บอกนะว่าอะไร แต่ก็ช่างเถอะ รู้ว่ามีคนตามแค่นี้ก็มีแรงเขียนแล้ว

พี่คนที่สอง พี่คนนี้เป็นสามีของเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง เวลาผมมีปัญหาเรื่องความรักจะไปปรึกษามันตลอด ได้เรื่องบ้าง ไม่ได้เรื่องบ้าง ผมก็ทำตามได้บ้าง ไม่ได้บ้าง สุดท้ายก็ยังเป็นโสดเหมือนเดิม 555

มาเรื่องของพี่โจ ที่เป็นสามีของเพื่อมผมบ้าง คือพี่คนนี้เป็นพี่ทำงานของเพื่อนผม และก็เพิ่งแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้ว ปลายปีก็มีลูกมาให้เชยชมกันอย่างทันใจเลยทีเดียว และเหมือนผมก็เป็นแรงบันดาลใจให้พี่เค้าลุกขึ้นมาเขียนบล็อก ทั้งที่ปกติแกไม่เคยเขียน

เป็นบล็อกที่เล่าประวัติแก ทั้งเรื่องความรัก เรื่องนู่น เรื่องนี่ เหมือนแกมีเรื่องจะเล่าเยอะ พอเห็นผมเขียนบล็อกทุกวันเลยอยากที่จะลุกมาเขียนบ้าง รู้สึกดีจริงๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้พี่โจลุกขึ้นมาเขียนอะไรอย่างที่พี่อยากทำ

หลายคนอาจจะบอกว่า... เห้ย.!!! ผมหลงตัวเองหรือเปล่า พี่โจอาจจะอยากเขียนเองก็ได้

ไม่หรอกครับ แกมาบอกเองเลย ในบล็อกแก พูดชื่อผมจริงๆ เออ มันคงไม่ชื่อซ้ำหรอกมั้ง เล่นเขียนโต้งๆ เลยว่า ท็อป เพื่อนของภรรยา มันก็คงมีผมคนเดียวแหละ หรือมีคนอื่น... ไม่น่ามั้ง คนเดียวแหละ ไม่หลงตัวเองหรอก ถึงจะชอบหลังตัวเองบ่อยๆ ก็ตาม 555

สุดท้ายไปตามเรื่องความรักของพี่เค้าได้ที่ http://my-joe.blogspot.com/

ปล.วันนี้ยอมรับว่าไม่มีอะไรเขียน
ปล2. เป็นตอนที่ใช้เวลาเขียนนานที่สุด เนื่องจากวันนี้มีคนคิดถึงเยอะเหลือเกิน ทักมาคุยกันใหญ่ เขียนยรรทัดนึง เปิดแชตทีนึง 555